วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่๓

   
 ผมได้พิจรณาเนื้อหาของตำราเต๋าเต็กเก็งของท่านเล่าจื้อมาถึงบทที่๓แล้ว
และในครั้งนี้ผมก็ยังต้องย้ำกับผู้อ่านอยู่ว่าผมได้วิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเล่มนี้ในฐานะนักศึกษามิใช่ผู้รู้
และหากการตีความของผมผิดเพิ้ยนไปจากความจริงหรือทัศนคติของท่าน
ผมก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ
และหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการพิจรณาของผมในครั้งนี้ได้ครับ

เต๋าเต็กเก็ง บทที่๓ การปกครองของปราชญ์

มิได้ยกย่องคนฉลาด ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี
มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก ประชาราษฎรก็จะไม่ลักขโมย
ขจัดตัวตนแห่งความอยาก ดวงใจของประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์
ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดยทำให้ดวงใจของประชาราษฏร์
ว่าง สะอาด บำรุงเลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย
ความคิดและความปราถนาของประชาราษฎร์ก็จะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์
คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญเข้ากระทำการทุจริต
ปราชญ์ย่อมปกครอง โดยการไม่ปกครอง
ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครอง และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ ฯ
..................

"มิได้ยกย่องคนฉลาด ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี"
การให้คุณค่าแก่สิ่งที่พิเศษและสำคัญว่ามีความเป็นเลิศกว่าส่วนอื่นๆ ทั่วไป
เพื่อบ่งชี้ว่่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดาหรือเป็นสิ่งสามัญที่สามารถพบได้ทั่วไป
ข้อนี้แหละที่เป็นลักษณะของการยกย่อง ซึ่งคล้ายลักษณะการเชิดชูไว้เหนือส่วนอื่นๆ
ผมมองว่ามันเป็นปทัสถานทางสังคมอย่างหนึ่งที่ทุกคนสร้างขึ้นและมีความเชื่อร่วมกัน
เราสามารถเปรียบเทียบและระบุว่าสิ่งใหนมีคุณค่ามากกว่าหรือดีกว่าได้โดยปทัสถานนี้
คนดี คนเก่งและคนฉลาด ต่างก็เป็นคำยกย่องที่เกิดขึ้นอยู่จริงในทุกสังคม
ผู้ได้รับการยกย่องย่อมเกิดความภาคภูมิใจในคุณค่าของตัวเองตามวิสัยปกติธรรมดา
แต่ท่านเล่าจื้อกลับมองว่าการยกย่องเหล่านี้ล้วนเป็นค่านิยมโดยสมมติ
และจะทำให้ผู้คนในสังคมเริ่มแก่งแย่งความดีเด่นดังกัน
ก็เพราะทุกๆคนล้วนอยากเป็นผู้มีปัญญาหรืออยากเป็นคนเก่งในสังคมของตน
แล้วต่อจากนั้นพวกเขาก็จะมุ่งสร้างตนและละเลยต่อความเป็นส่วนรวมของสังคมไป
ผมว่าในจุดนี้เราควรพิจรณาให้ละเอียดอย่างสุขุมรอบคอบโดยมองต่อความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อทำความเข้าใจว่าท่านเล่าจื้อพูดได้ถูกต้องหรือไม่และถูกต้องในแง่ใด
และอันที่จริงแล้วผมก็อยากจะอธิบายกับท่านผู้อ่านไปตรงๆว่า
แท้จริงแล้วคำว่า"คนฉลาด" ในบทที่๓นี้นั้นถือเป็นเรื่องทางสังคมโลก
หรือที่เราชาวพุทธเรียกกันว่าโลกธรรมนั่นเอง
ความต้องการของตัวเราเอง ความต้องการของสังคม ก็มักขึ้นอยู่กับทัศนคติโดยรวมของสังคม
คนดี คนเก่ง คนฉลาด หรือคนรวย เองก็เช่นกัน
ทั้งหมดล้วนเกิดจากการเปรียบเทียบระหว่างบุคคลซึ่งเราไม่ควรไปยึดมั่น
ดังที่ท่านฮวงโปเคยกล่าวว่า "แม้มีพระพุทธเจ้าเดินมาในหมู่พวกเราท่านก็มิใช่คนพิเศษ"
ในสายตาของผู้รู้ธรรมย่อมมองเห็นความเป็นธรรมดาสามัญและการสมมติได้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการลบล้างความดีงามที่ท่านมีอยู่แต่อย่างใด
ด้วยทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการกล่อมเกลาทัศนคติและความเชื่อทางสังคมของเรา
และที่มาของปัญหาสังคมอาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีคนอยากเป็นคนพิเศษ


"มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก ประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย"
เพชรหรือไข่มุกต่างก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากทั้งยังมีสีสรรค์สวยงามแปลกตา
เป็นสิ่งที่น้อยคนจะมีไว้ครอบครอง
และถือเป็นสิ่งของที่หายากและคนทั่วๆไปต่างก็ยกย่องว่าเป็นสิ่งพิเศษที่มีค่ามาก
มันสามารถแสดงออกถึงฐานะที่มั่งคั่งร่ำรวยของผู้ที่มีไว้ในครอบครองได้เลยทีเดียว
ของที่หายากและมีค่าจึงไม่ใช่สิ่งธรรมดา สร้างความหรูหราไม่ใช่เรียบง่าย และไม่ใช่ความเป็นสามัญ
มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่เราสามารถจะเห็นได้ในสังคมของเราก็คือ
คนเราต่างต้องการยกฐานะตัวเองให้สูงเด่นและมีสง่าราศรีในวงสังคมเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้
ความทะยานอยากนี้มีอยู่แต่เดิมในใจของทุกผู้คน 
สิ่งใดที่เราคิดว่ามีคุณค่าหรือมีความหมายเราก็จะพยายามหามาครอบครองเป็นของตน
ในทัศนะของผมๆ มองว่าของพิเศษก็เช่นเดียวกันกับคนพิเศษ
ที่ต่างล้วนเป็นการปรุงแต่งสมมติบัญญัติโดยการเปรียบเทียบและเทียบเคียงกัน
กับสิ่งเดียวกันหรือกับสิ่งอื่นๆ
จากนั้นคนเราก็จะสร้างทัศนคติหรือความเชื่อต่อสิ่งนั้นออกมาชุดหนึ่งและยึดถือตามกัน
ในทางตรงกันข้ามหากเรามองของหายากด้วยความว่างในคุณค่าตามค่านิยม
หรือมองโดยเห็นเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาสามัญเช่นเดียวกันกับของอื่นๆ
มันก็จะไม่สามารถล่อตาล่อใจเราได้เลยและเราอาจได้ทำความเข้าใจอีกต่อไปว่า
ที่เรียกว่าไข่มุกหรือเพชรนั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งสมมติอย่างไร
แต่หากใจเราคิดไปว่าสิ่งใหนมีคุณค่าและมีความหมายตามสังคมโลกทั่วๆไปนิยามไว้
มันก็จะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความอยาก แล้วใจก็จะเริ่มคิดหาทางเอามาครอบครอง
หากหามาไม่ได้ด้วยวิธีการซื่อๆ ก็จะใช้วิธีการทุจริตหามา
เพราะมันหมายถึงฐานะความเป็นอยู่ทางสังคมและเป็นสิ่งที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่นด้วย
สิ่งของที่หายากจึงอาจเป็นปัญหาทางสังคมขึ้นมาได้
เพราะสิ่งของหายากมักเป็นทรัพย์สินที่ผู้คนตีราคาเอาไว้สูง
ดังนั้นการเลิกให้คุณค่าแก่สิ่งของหายากมันจึงดูเหมือนการสร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อต่อกัน
ไม่แข่งขันกันร่ำรวยหรือชิงดีชิงเด่นกัน
เพราะเมื่อมีแต่สิ่งธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษและทุกๆอย่างต่างก็เป็นสิ่งสามัญ 
สังคมก็จะดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและเป็นปกติ
เนื่องจากไม่มีอะไรมาล่อตาล่อใจของใครๆได้  การลักขโมยจึงไม่มี

"ขจัดตัวตนแห่งความอยาก ดวงใจของประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์"
ใจคนเราหากไม่ได้ศึกษาตัวมันเอง มันก็จะคอยมองหาแต่สิ่งอื่นภายนอกมาเติมเต็ม
เพื่อหมายความสุขที่มั่นคง
และเมื่อมีความต้องการว่าอย่างไรก็ต้องไปหามาสนองความต้องการนั้น
อันนี้คือลักษณะของความทะยานอยากของคนเรา
คนเราโดยมากมักจะเข้าใจไปว่า"ความมี-ความเป็น" นั้นคือความเพรียบพร้อมของเขา
แต่ผมไม่ได้กำลังบอกว่าการมีและการหาปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ผิด
เพราะผมจะตำหนิก็แต่ผู้ที่หาสิ่งต่างๆมาและเก็บสั่งสมไว้จนเกินความจำเป็นเท่านั้น
โดยเฉพาะการมีไว้เพื่อแสดงฐานะที่มั่นคงของตนต่อสังคมโลก
ความต้องการที่อยากมีทรัพย์และมีหน้ามีตานี้ ถือเป็นสองอย่างที่คนทั่วไปอยากมีกัน
และเมื่อทัศนคติของสังคมโดยรวมเป็นอย่างนั้น ผู้คนในสังคมจึงต้องแสวงหาทรัพย์มาให้มากๆ
และไม่อาจจะล่วงรู้ได้เลยว่ามากเท่าไรพวกเขาจึงจะพอและหยุด
ข้อนี้นี่เองที่ผมเฝ้าคิดมาตลอดหลังจากศึกษาธรรมะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมนี้
เกิดความขาดแคลนและความยากจนขึ้นมา
มีคนมากมายที่ต่างก็มัวเมาในการครอบครองและการเสพกำซาบ
พวกเขากดขี่กัน เอาเปรียบกัน แข่งขันกัน แก่งแย่งกัน ทุจริตต่อกัน และก็ประทุษร้ายต่อกัน
ท่านอ.พุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า"การมีชีวิตที่ถูกต้องก็คือการใช้ชีวิตอย่างสามัญและเรียบง่าย "
ถ้าคนเราสามารถรู้จักชีวิตอย่างนี้เขาย่อมสามารถมองเห็นความอุดมสมบูรณ์ของมนุษยชาติได้
แล้วเขาจะรู้จักการให้ได้โดยธรรมชาติด้วย
ท่านเล่าจื้อหวังจะชำระจิตใจของผู้คนด้วยการให้การศึกษา
เพื่อให้ผู้คนได้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า
ความยินดีในเกียรติยศและทรัพย์สินนั้นนับเป็นความหลงใหลด้วยความมืดบอด
และเป็นความเชื่อที่สังคมสมมติสร้างขึ้นมาอย่างโง่เขลา ไม่ควรวางใจ
มันไม่ควรดึงดูดใจเราให้เห็นคุณค่าต่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกินความจำเป็น
และสิ่งที่มีค่ากว่านั้นก็คือสติปัญญาที่สามารถมองเห็นความว่างเปล่าของค่านิยมนั้นๆได้
หากเราสามารถดับกิเลสตัณหากันได้มากเท่าไรแล้ว
ความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและทางโลกก็จะมีพรั่งพร้อมมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในตอนนี้คนเราไม่ได้คิดอย่างนั้นและไม่ได้เห็นว่าเมื่อหยุดการค้นหา
ความอุดมสมบูรณ์จึงเกิดมีขึ้นมาได้

"ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดยทำให้ดวงใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด 
บำรุงเลี้ยงดูให้อิ่มหนำ ตัดตอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย
ความคิดและความปราถนาของประชาราษฎร์ก็จะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์ "
จากการศึกษาตำราเล่มนี้โดยเริ่มต้นจากบทที่๑และศึกษาเรื่อยมาจนถึงบทที่๓นี้
หากเรารู้จักสังเกตุก็จะพบว่าท่านเล่าจื้อนั้นเป็นผู้ที่เทศนามีเหตุผลและเป็นลำดับ
เหมือนท่านกำลังค่อยๆให้การศึกษาแก่ผู้ที่ศึกษาตำราเล่มนี้อยู่ทีละน้อย
เพราะเนื้อหาสาระตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้นั้นมีใจความที่สนับสนุนกันอยู่
อย่างในบทแรกนั้นมันเปรียบเหมือนเป็นคำนำของตำราเล่มนี้
ซึ่งบอกว่ากำลังจะอธิบายอะไรและมีความสำคัญอย่างไร
และจากนั้นท่านก็เริ่มพาผู้ที่สนใจเดินทางไปเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งนั้นให้มากขึ้นๆ
ดังในบทก่อนหน้านี้ที่ท่านอธิบายว่าสิ่งต่างๆอุบัติขึ้นมาเพราะการเปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบทำให้เกิดขึ้นซึ่งปทัสถานทางสังคมต่อสิ่งต่างๆอย่างสมมติ
ทำให้คนเราเกิดความเห็นต่อสิ่งต่างๆและให้คุณค่าแก่สิ่งต่างๆไม่เท่ากัน
อันเป็นการตัดสินด้วยความสามารถในการรับรู้ของตน
ในบทต่อมาท่านชี้ให้เห็นว่าการไม่ยกย่องคนฉลาดและของหายากนั้นมีประโยชน์อย่างไร
ถึงแม้การสมมติจะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นในทุกวงสังคม
แต่การขาดความตระหนักรู้ต่อการสมมติขึ้นซึ่งรูปธรรมและนามธรรมในตน
นับเป็นกระบวนการทางการเรียนรู้ที่ขาดสติปัญญาประกอบแล้วสุดท้ายเราก็จะหลงทางไป
แต่หากเราสามารถรู้เท่าทันได้ เราก็จะเห็นว่าทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสามัญ
มีความเสมอภาค และเห็นความว่างในสรรพสิ่งได้
การได้รับการศึกษาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการชำระจิตใจให้ผู้นั้นกลับว่างและสอาดขึ้นมาได้
และดังที่กล่าวมาแล้วว่าเมื่อคนเรามองเห็นความเป็นธรรมดาและสามัญในสรรพสิ่ง
เขาก็ย่อมที่จะไม่ยินดียินร้ายร้ายต่อทุกๆอย่างที่เข้ามาล่อตาล่อใจของเขา
ความทะยานอยากของเขาจึงได้ชื่อว่าถูกตัดทอนแล้ว
เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาเช่นนี้
พวกเขาก็จะไม่เฝ้าคิดแต่มุ่งสร้างตัวหรือสร้างฐานะที่มั่นคงเพื่อการมีชีวิตที่ดีของพวกเขา
การดิ้นรนแข่งขันกันก็อาจเเปรเปลี่ยนเป็นการเอื้อเฟื้อต่อกันได้
และยังมีความจริงอยู่ประการหนึ่งก็คือ จิตใจที่ผ่องใสนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เปี่ยมด้วยมิตรไมตรี
จะคิดอ่านประการใดก็จะมีความซื่อตรงไม่ซับซ้อน และจะไม่ทุจริตต่อกัน

"คนฉ้อฉลก็มิบังอาจหาญเข้ากระทำการทุจริต"
ใจความของประโยคนี้ย่อมต้องสอดคล้องกับใจความที่อธิบายมาแล้วของประโยคก่อนหน้านี้
เมื่อพวกเขามีจิตใจที่บรุสุทธิ์ขึ้นความทะยานอยากก็ลดน้อยลง
และความต้องการในการสะสมความมั่งคั่งที่ลดน้อยลงทำให้ความยึดมั่นในตัวตนของตนก็ลดลงตามไป
ความคิดความอ่านในทางทุจริตและประทุษร้ายต่อกันก็ย่อมต้องลดน้อยลงไปด้วย
คำว่า"คนฉ้อฉล " นี้ในบางทีเราก็จำเป็นต้องย้อนมามองดูตัวเองด้วยเหมือนกัน
เพราะความอยากเกิดที่ใจคนฉ้อฉลจึงเกิดขึ้นที่ใจด้วย และย่อมมีได้ในใจของทุกๆคน
แต่เมื่อได้รับการศึกษาและมองโลกด้วยความว่างและเป็นสามัญมากขึ้นแล้ว
คนผู้นั้นย่อมปราถนาชีวิตที่เรียบง่าย
ความคิดคดโกงหรือทุจริตของเขาก็ย่อมถูกชำระล้างออกไป

"ปราชญ์ย่อมปกครองโดยการไม่ปกครอง 
ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครองและดำเนินไปอย่างมีระเบียบ "
การปกครองที่ดีคือการรู้จักปกครองใจของคน
แต่การปกครองเช่นนี้เราไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือใช้วิธีการจัดการใดๆเลย
ที่เราต้องทำคือให้สติปัญญาแก่ผู้คน และให้เขารู้เท่าทันกิเลสตัณหาของตัวเขาเอง
จากนั้นทุกคนก็จะปกครองรักษาใจของตัวเองและทำให้ความชั่วในสังคมไม่มีปรากฏออกมา
สังคมจะไม่สร้างสิ่งชักจูงใจขึ้นมาล่อลวงใครๆ
และจะสร้างแต่ความยินดีในชีวิตที่เรียบง่ายและพอเพียง
ธรรมะที่เผยแพร่สู่สังคมนี้ก็เพื่อขจัดตัวตนอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นและความอยาก
เพื่อช่วยทำให้ใจของประชาราษฎร์สอาด มีอิสระจากการสมมติค่านิยม
ทำให้ไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกันในวงสังคมเพื่อครอบครองทรัพย์หรือมีหน้ามีตาที่สูงกว่าผู้อื่น
เพราะพวกเขาจะไม่เฝ้าปรุงแต่งว่าตัวเองมีอย่างนี้หรือเป็นอย่างนั้น
ตามที่สังคมภายนอกบ่งชี้ว่าเป็นตัวตนของเขา
จิตใจประชารษฎร์ก็สงบปลอดโปล่ง มีดุลยถาพ และมีระเบียบไม่วุ่นวาย
ระเบียบชนิดนี้เราไม่จำเป็นต้องยกร่างขึ้นมาเป็นข้อๆอย่างระเบียบการทั่วไป
แต่มันเกิดขึ้นได้จากการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีความเคารพต่อกัน
หรือมีความรักความผูกพันต่อกันอย่างซื่อตรง ไม่คิดชิงดีชิงเด่นกัน
การปฏิบัติต่อกันอย่างถูกต้องก็มีขึ้นได้เองตามธรรมชาติ
ซึ่งหากเราต้องการที่จะมองเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ นั้น
ผมคิดว่าเราอาจจะต้องจิตนาการถึงวิถีชาวบ้านที่เรียบง่ายแต่มีสติปัญญาไม่ยินดีในโลกธรรม
ตามทัศนะของผมมันคงมีลักษณะเช่นนั้น
สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการศึกษา
ก็คือการทำหน้าที่ของตนโดยสุจริตและมีความรับผิดชอบซึ่งคล้ายการเสียสละและอุทิศตน

..............................ฯ

จบการวิพากษ์ปรัชญาของท่านเล่าจื้อในบทที่๓แล้วนะครับ
หากมีข้อตำหนิหรือข้อผิดพลาดประการใดผมก็ขออภัยจากท่านผู้อ่านด้วยนะครับ
และเนื่องจากความรู้ของผมยังน้อยดังนั้นหากท่านสามารถแนะนำอะไรเพิ่มเติม
ก็เขียนคอมเม้นต์ไว้ด่านล่างได้เลย ผมยินดีรับฟังครับ
หรือหากมีใครอยากสอบถามอะไรก็เขียนเอาไว้ด่านล่างได้เช่นเดียวกัน

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่๒

     ก่อนอื่นต้องขอเกรินนำกับผู้อ่านก่อนนะครับว่า 
ผมเป็นเพียงนักศึกษาด้านปรัชญาคนหนึ่งที่มีความสนใจใคร่รู้ในปรัชญาของเต๋า
ไม่ได้เป็นผู้รู้ที่เข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้งอะไรหรอกครับ
ที่เขียนบทความนี้ก็เพื่ออยากเล่าประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับการพิจรณาเนื้อความของปรัชญาเล่มนี้เพียงเท่านั้น
และหวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่กำลังสนใจและเริ่มต้นศึกษาปรัชญาเล่มนี้อยู่เหมือนกัน
ซึ่งหากมีการพิจรณาจุดใหนไม่ตรงกันก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ



          เต๋าเต็กเก็ง บทที่๒ สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ

เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยาวกับสั้น เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงกับต่ำ เกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญ เกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
ดังนั้นปราชญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ  เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง
ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
เหตุที่ท่านไม่ปราถนาเกียรติคุณ เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่เสื่อมสูญ ฯ


"เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น"
ตามชื่อของเต๋าบทนี้ที่นิยามว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเพราะการเปรียบเทียบ
ดังนั้นแล้วความสวยและความน่าเกียดก็เกิดมาจากการเปรียบเทียบด้วยเช่นเดียวกัน
มันทำให้เราเกิดมโนคติต่อสิงต่างๆ ตามมา
ถัดจากนั้นเราก็จะใส่ค่านิยมและความต้องการลงไปว่าสิ่งนั้นควรเป็นอย่างไร
เหมือนกันกับความยินดีในรูปทรงและสีสรรค์ที่เรามีในสิ่งต่างๆ
"เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น"
อนึ่งท่านเล่าจื้อใช้คำว่า"คนในโลก" ก็เพื่อสื่อความหมายว่ากำลังพูดถึงปกติของปุถุชนอยู่
คนที่ยังเป็นปุถุชนย่อมมองไม่เห็นลักษณะของสมมติบัญญัติของรูปธรรมนามธรรม
กล่าวคือเมื่อรูปธรรมคือวัตถุมีการนิยามว่าสวยซึ่งเป็นนามธรรม การสมมติบัญญัติก็เกิดขึ้น
คือการเกิดขึ้นของรูปธรรมนามธรรมนั่นเอง
ซึ่งเป็นลักษณะของการรับรู้รับทราบตามสมมติของคนเรา
ในความเป็นจริงแล้วลักษณะที่เรียกว่าดีและเลวนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องพฤติกรรมของคนเรา
แต่สิ่งต่างๆในโลกนี้ย่อมมีลักษณะดีหรือเลวตามการบัญญัติเปรียบเทียบและการสร้างความเชื่อหรือค่านิยม
ลักษณะดีหรือชั่วนี้ จึงคล้ายว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมตามธรรมชาติ
แต่กลับเป็นผลจากกระบวนการที่เราเรียกว่าความคิดปรุงแต่งได้สร้างสรรค์ขึ้นมา
ทั้งนี้ในการเปรียบเทียบนั้นเราสามารถเปรียบเที่ยบกับสิ่งเดียวกัน
กับสิ่งอื่นๆ หรือนำมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่เราตั้งเอาไว้ก็ได้
ข้อนี้แหละที่อาจอธิบายให้เราเข้าใจในเบื้องต้นว่าสิ่งต่างๆที่เราเห็นอยู่นั้น
แท้จริงเป็นของปรุ่งแต่งอย่างไร
"มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้   ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยการรับรู้ "
"มีหรือไม่มี"นี้ก็เช่นเดียวกันกับความสวยและความน่าเกลียด
ตรงที่คนเราต้องใช้อายตนะทั้งหกวิถีเพื่อจำแนกสิ่งต่างๆ เหล่านี้
การแยกแยะสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมว่าปรากฏอยู่หรือไม่
ก็ย่อมต้องพินิจผ่านทางอายตนะเหล่านั้น
และมีหรือไม่มีนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับการบัญญัติซึ่งลักษณะของสิ่งต่างๆด้วย
ซึ่งทำให้เราสามารถแบ่งแยกตัวตนของสิ่งต่างๆให้ละเอียดมากขึ้นไปอีกได้
"ยากกับง่าย"อาจทำให้เราเห็นตัวอย่างของการปรุงแต่งที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นนี้ได้
คนเราเมื่อกระทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอยู่ก็อาจนำกิจกรรมนั้นไปเปรียบเทียบกับกำลังของตนหรือการงานอย่างอื่นก็ได้
จนทำให้รู้สึกและสามารถบอกออกมาได้ว่ากิจกรรมที่ตนกำลังอยู่หรือทำเสร็จแล้วนั้นว่ายากหรือง่าย
ซึ่งยากกับง่ายนี้ในกิจกรรมเดียวกันแต่ละคนอาจตอบออกมาไม่เหมือนกันก็ได้
มันจึงดูราวกับว่าเป็นเรื่องจำเพาะตัวของแต่ละคนๆไป
ทำให้เรารู้ว่าการรับรู้และความเข้าใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ของรูปธรรมนามธรรมของคนเรานั้นอาจมีความแตกต่างกันก็ได้
เช่นนั้นแล้วมันอาจแปลได้ว่าการเห็นสิ่งต่างๆตามที่'เป็น' อาจมีได้แตกต่างกันไป
ข้อนี้ทำให้เรารู้ได้ว่าการปรุงแต่งที่แตกต่างกันไปอาจเป็นไปตามความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน
ทำให้คนเรามองเห็นในสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป
การพิจรณาอย่างนี้อาจช่วยทำให้เรามองเห็นความเป็นสมมติบัญญัติ
และความไม่แน่นอนของรูปธรรมนามธรรมได้ชัดเจนขึ้น
"ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง"
ความจริงแล้วการเปรียบเทียบขนาดและปริมาณต่างก็เป็นความสามารถหนึ่งของสมองมนุษย์
เพราะมันช่วยให้มนุษย์ใช้ตรรกะที่มีอยู่ประเมินสิ่งต่างๆได้
และในบางครั้งเราก็ใช้การเปรียบเทียบเพื่อประเมินว่าสิ่งใหนมีค่ามากกว่าและสิ่งใหนด้อยกว่า
เพราะสิ่งต่างๆ ตั้งอยู่เดิม แต่เมื่อมีการเปรียบเทียบจึงมียาวมีสั้น
และเมื่อมีการเทียบเคียงจึงมีสูงมีต่ำ
การเปรียบเทียบจึงเป็นการปรุงแต่งความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมลงไป
ผมว่าในบางครั้งคำว่าดีกว่า เลิศกว่า ก็มีความหมายในเชิงการสร้างปัญหานะ
ก็เพราะคนเรามักต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเองอยู่เสมอ
และการเปรียบเทียบที่สร้างปัญหาที่สุดก็คือการนำตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนั่นแหละ
"เสียงดนตรีและเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด"
เช่นเดียวกันกับการเปรียบเทียบ การรู้จักแยกแยะในความแตกต่างได้นั้นคือธรรมชาติในการรับรู้ที่พิเศษ
คนเรามีความสามารถโดยธรรมชาติในการวิเคราะห์น้ำเสียงต่างๆได้
หากมีการกำหนดว่านี่คือเสียงดนตรีใยที่เราจะไม่รู้จักมันเล่า
แต่เสียงดนตรีสามารถทำให้สมองของเราตอบสนองต่อมันโดยไม่ต้องมีสัญญาก็ได้
ทั้งเสียงที่ทำให้เราเคลิบเคลิ้มฟังและเสียงที่ทำให้เราคะนองใจฟัง
แต่หากมีเสียงหนึ่งที่เราชอบและเสียงหนึ่งที่เราไม่ชอบแล้วล่ะก็
เสียงก็นับว่าเป็นสิ่งปรุงแต่งความเข้าใจและความรู้สึกด้วย
"หน้ากับหลังเกิดข้นด้วยการนึกคิด"ข้อนี้ช่วยแสดงการทำงานของสมองที่ซับซ้อนขึ้น
กล่าวคือความสามารถในการคิดวิเคราะห์นั่นเอง
ซึ่งท่านเล่าจื้อคงต้องการยกมาให้เราพิจรณามันในแง่ของความ"มี"ความ"เป็น"อันเกิดจากการเปรียบเทียบมากกว่า
"ดังนั้นปราขญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง"
ดังที่พิจรณามาก่อนหน้านี้เราอาจเกิดความรู้ใหม่ว่า
โดยเนื้อแท้แล้ว การรับรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่แน่นอนเสมอไป
ก็เพราะสมมติบัญญัติและค่านิยมอันเกิดจากการเปรียบเทียบเป็นการปรุงแต่งต่อลักษณะของสรรพสิ่ง
ตามความสามารถในการรับรู้ที่มีอยู่นั้น
ทำให้เกิดการบัญญัติของรูปธรรมนามธรรมขึ้น
ซึ่งบ่งชี้ว่าคนเราอาจมีการรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไปก็ได้
เพราะมันขึ้นอยู่กับความหมายรู้ความเข้าใจตามที่ตนเองสมมติบัญญัติหรือปรุงแต่งเอาไว้นั่นแหละ
ดังนั้น"การกระทำโดยไม่กระทำ"จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของตน
การวางเฉยในท่าทีนี้เป็นการดับปัญหาที่ต้นเหตุก็คือจิตใจตน
ด้วยการเห็นโลกตามความเป็นจริงว่ารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย
แท้จริงแล้วเกิดที่จิตใจหรือก็คือกระบวนการในการ"รู้ "ทางสมองของคนเราเอง
การ"ไม่กระทำ"จึงช่วยดับความทุกข์จากกิเลสและความร้อนรนของตัณหาได้
"เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา"ก็เช่นเดียวกัน
เพราะการจำแนกแจกแจงที่มากอย่าง ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจที่มากอย่างขึ้นอีก
ฉนั้น จะทำอย่างไรให้เขารู้และเข้าใจการปรุงแต่งของสมมติบัญญัติ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจาจึงถูกนำมาใช้ เพื่อให้เขาสามารถมองเห็นจิตใจตัวเองได้
เขาจะมองโลกโดยความไม่ยึดถือ มองเห็นความว่างในสรรพสิ่งได้
ไร้นามไร้สภาวะอันเป็นหนทางแห่งเต๋าจึงสำเร็จลุล่วงแก่เขาด้วยเหตุนี้
"ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้"
การรับรู้ได้ถึงการมีหรือไม่มี  การบัญญัติซึ่งลักษณะดีและเลว
การสมมติขึ้นมาซึ่งรูปธรรมนามธรรม
มันทำให้เราเขาใจว่าสิ่งต่างๆ มีตัวตนอย่างนั้น
และถ้าหากใจยึดถือแล้วแล้วล่ะก็มีหรือไม่มีนี้ก็อาจก่อปัญหาด้วยความปราถนาในการเติมเต็มสิ่งนั้นๆด้วย
เพราะคนเราล้วนต้องการสิ่งที่ดีกว่าเมื่อเกิดการเปรียบเทียบเสมอ
เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นก็อาจเกิดการเเก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันก็ได้(ทั้งตนและคนอื่นก็เป็นสมมติ)
นี่ใยจักไม่ใช่ปัญหาอันเกิดจากการปรุงแต่งในสรรพสิ่ง
ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ถือตัวเป็นเจ้าของแม้จะเป็นของที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ก็ตาม
การไม่ยืดถือเป็นการรู้จักปกครองตนให้ได้รับความสงบสุขโดยแท้
นี่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการกระทำกิจอันยิ่งใหญ่แห่งตนให้ลุล่วงหรอกหรือ
แต่หากท่านสำคัญว่าตัวเองดีเด่นความต่ำทรามก็จะมีตามมา
ด้วยน้ำใจของท่าน
ท่านจึงไม่ได้"ประกาศให้โลกรู้ " เพื่อหวังยกย่องความดีของตนเองและการเคารพจากใครๆ เลย
"เหตุที่ท่านไม่ปราถนาเกียรติคุณ เกียรติคุรของท่านจึงดำรงอยู่ไม่เสื่อมสูญ"
ธรรมดาของผู้มีธรรมะ ย่อมเป็นผู้ให้แก่คนทั่วไป
แต่ท่านเหล่านั้นย่อมให้โดยปราศจากการมุ่งหวังในผลตอบแทน
ยกตัวอย่างเช่นท่านเล่าจื้อที่เป็นผู้ให้ความรู้แก่คนทั่วไป
แต่ท่านก็ไม่ได้หวังคำยกย่องสรรเสริญและลาภสักการะแต่ประการใด
และตัวท่านยังเป็นที่ยกย่องของคนกลุ่มหนึ่งจวบจนทุกวันนี้
อนึ่งผมได้ตั้งข้อสังเกตุว่าการให้บางอย่างก็ไม่ได้ส่งผลให้ผู้คนระลึกถึงอยู่เสมอไป
แต่การให้ที่ส่งผลตอสังคมยาวนานนั้นมักจะเป็นการให้วิชาความรู้ที่ถูกต้องและมีคุณค่าต่อสังคมมนุษย์
เช่นนั้นแหละความรู้และผู้ถ่ายทอดมันจึงได้รับการยกย่องไปอีกนาน

จบการวิพากษ์ปรัชญาของท่านเล่าจื้อในบทที่๒แล้วนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย
และหากมีข้อตำหนิหรือข้อผิดพลาดประการใดผมก็ขออภัยจากท่านผู้อ่านด้วยนะครับ
และเนื่องจากความรู้ของผมยังน้อยดังนั้นหากท่านสามารถแนะนำอะไรเพิ่มเติม
ก็เขียนคอมเม้นต์ไว้ด่านล่างได้เลย ผมยินดีรับฟังครับ
หรือหากมีใครอยากถามอะไรก็เขียนเอาไว้ด่านล่างได้เช่นเดียวกัน


วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่๑

     ก่อนอื่นขอเล่าประวัติท่านเล่าจื้อ ผู้เป็นปรมาจารญ์แห่งลัทธิเต๋าเสียก่อนสักหน่อย
ผู้นับถือลัทธินี้ได้ยกย่องท่านเล่าจื้อว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุดหนึ่งในสามองค์นามว่าไท่ซ่างเล่าจวิน
คาดกันว่าเล่าจื้อน่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วง30ปีก่อนพุทธศักราช
ตามพงศาวดารระบุว่าท่านเล่าจื้อเกิดในแคว้นขู่ซึ่งในปัจจุบันคืออำเภอขู่เสียนในมลฑลเหอหนานของจีน
ท่านยังเคยเข้ารับราชการเป็นคนจดบันทึกและรักษาแผ่นไม้ไผ่ที่บันทึกอักษรจีนในราชสำนักด้วย
ว่ากันว่าท่านเล่าจื้อมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับท่านขงจื้อและทั้งสองยังเคยร่วมเสวนาธรรมด้วยกันอีกด้วย
ท่านขงจื้อได้กล่าวสรรเสิญท่านเล่าจื้อหลังจากที่มีโอกาสได้เสวนากันว่า
ท่านเล่าจื้อเป็นจอมปราชญ์ที่มีสติปัญญาล้ำลึกจนยากหยั่งถึง
การได้เสวนากับท่านเล่าจื้อนั้นเลิศกว่าการได้อ่านตำรานับแสนเล่มเสียอีก
ผลงานที่สำคัญของท่านเล่าจื้อนั้นก็คือตำราเต๋าเต็กเก็งหรือเต๋าเจ๋อจิงนั่นเอง
ซึ่งคำสอนของท่านมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของชาวจีนในสมัยต่อมาอย่างมาก
โดยเนื้อหาของคำภีร์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาของมนุษย์ ความกลมกลืนต่อการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ
จนไปถึงปรัชญาด้านการเมือง
และจากการตีความคำว่า"เต๋า"ในคัมภีร์คนส่วนใหญ่บอกว่ามันแปลว่า"มรรค"หรือ"หนทาง"
ส่วนคำว่า"เต๋อ"หรือ"เต็ก"นั้นหมายถึง"คุณธรรม"
และคำว่า"จิง"นั้นหมายถึงคำภีร์หรือตำรา
ถึงแม้ว่าคำสอนของท่านเล่าจื้อจะไม่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีนมากมายเท่าคำสอนของท่านขงจื้อ
แต่ท่านเล่าจื้อก็ยังเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไป
ทั้งแนวความคิดและการปฏิบัติตามหนทางแห่งเต๋า
คำภีร์เต๋าเต็กเก็งนั้นเขียนด้วยตัวอักษรจีนประมาณ5000ตัว มีทั้งหมด81บท
ซึ่งผมจะยกขึ้นมาพิจรณาและวิจารณ์ในบล็อกทีละหนึ่งบท
และหวังว่าจะมีคนที่มีความสนใจในปรัชญาของท่านเล่าจื้อจะเข้ามาอ่าน
และร่วมพิจรณาไปพร้อมกับผม
และถ้าหากมีคำพูดใดหรือประโยคใดที่ผมกล่าวผิดไป
ก็ขอให้ท่านอภัยและช่วยชี้แจงให้ผมเข้าใจถูกต้องด้วยนะครับ
 
      เต๋าเต็กเก็ง บทที่๑ เต๋าอันสูงสุด

เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบายและมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อจักทำฉันใดให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าจึงขอเรียกสิ่งนั้นว่า"เต๋า"ไปพลางๆก่อน

เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน
เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ จึงทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล
ดำรงตนอยู่ในสภาวะ ย่อมแลเห็นปรากฎการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์

ทั้งความมีและความไร้ ต่างมีบ่อเกิดเดียวกัน
แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฎออก
บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก
ความลึกล้้ำสุดแสนนั้น คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต

    ในวรรคแรกนั้นตามทัศนะของผมมองว่าท่านคงอยากบอกกับเราว่าเต๋านั้น
เป็นสิ่งที่ผู้คนจะต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง
เนื่องเพราะเต๋าอันเป็นอมตะนั้นไม่อาจอธิบายและตั้งชื่อ
แต่หากอยากแนะนำแก่ผู้อื่นแล้วก็จำเป็นต้องสมมติชื่อขึ้นเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ
   " เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน"
การมองหา"ไร้นามไร้สภาวะ"ควรต้องมองหาจากจิตใจเป็นลำดับแรก
นั่นเพราะไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่คนเราจะเข้าถึง"ไร้นามไร้สภาวะ"นอกไปจากจิตใจของตน
เพราะความรู้สึกนึกคิดต่างๆก็คือการปรุงแต่งนามและสภาวะนั่นเอง
เช่นนั้นจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติเดิมแท้ได้(ด้วยตนเอง)
   "เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง"
ในความสอดคล้องกันกับไร้นามไร้สภาวะ มีนามมีสภาวะจึงหมายถึง
ความรู้สึกนึกคิดตามธรรมดานั้นย่อมเป็นการปรุงแต่ง และย่อมเป็นการสมมติสิ่งต่างๆ
   "ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ จึงทราบบ่อเกิดของจักรวาล"
ในทัศนะของข้าพเจ้า นี่ืเป็นการชี้ทางแห่งปัญญาแก่คนเรา
และย่อมเป็นทางให้เกิดความเข้าใจกรรมวิธีของจิตใจ กล่าวคือการเข้าใจตน
และเข้าใจธรรมชาติแห่งตนอย่างถึงที่สุด บ่อเกิดแห่งจักรวาลก็รู้ได้ที่ตน
"ทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล"คำนี้ฟังดูลึกลับซับซ้อนละเอียดอ่อนและน่าค้นหา
มันย่อมหมายถึงการเข้าใจความเป็นไปในสังสารวัฏอันยาวนานได้
เราย่อมเห็นถึงความจริงของสรรพชีวิตได้
   "ดำรงตนอยู่ในสภาวะ ย่อมแลเห็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์"
จากข้อความในข้างต้นนี้ ใยจะไม่หมายถึงปุถุชนผู้มีผ้าทึบพันห่อดวงตาไว้
พวกเขาเหล่านั้นย่อมถูกปรุงแต่งด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นกิเลสของตนเป็นแน่
เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นความจริงที่เหนือกว่าไปอีกได้
ดังนั้นปุถุชนจึงเป็นผู้ดำเนินชีวิตไปตามความอยากและหวังการได้ความสุขต่างๆ
ข้อนี้แหละที่ปุถุชนแตกต่างจากนักปราชญ์ผู้มีปัญญา
    "ทั้งความมีและความไร้ ต่างมีบ่อเกิดเดียวกัน"
สำหรับคำว่า"บ่อเกิด"ความเข้าใจต่อคำนี้ของข้าพเจ้ามีอยู่อย่างนี้ว่า
การรับรู้อันผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นช่องทางรับรู้แห่ง
สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนา และรูป อันช่วยกันทำหน้าที่ประสาทการทุกอย่าง
ทั้งหมดนี้แลที่เป็นลักษณะของบ่อเกิด
ทั้งของความมีและความไร้ หรือความเป็นและไม่เป็นของสรรพสิ่ง
ดังนั้นในทัศนะของข้าพเจ้า"ความมีและความไร้"จึงหมายถึง
การสมมติและปราศจากการสมมตินั่นเอง
   "แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฏออกมา"
โสกราตีสเคยกล่าวว่าการไม่มีสมมติคือการเห็นและการเข้าใจโดยความเป็นรูปแบบ
เช่นนั้นแล้วข้อนี้ท่านเล่าจื้อไม่ได้กำลังกล่าวถึงการมีสติปัญญาอยู่หรอกหรือ
เพราะความแตกต่างเมื่อปรากฏออกมาหมายถึงบ่อเกิดที่ได้รับการศึกษาและเป็นวิชชา
ย่อมต่างจากความเขลาของอวิชาที่เฝ้าแต่ปรุงแต่งสรรพสิ่งแล้วหลงใหล
   "บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก"
ถึงแม้ผมจะศึกษาธรรมะมาเพียงไม่กี่ปีแต่ก็อยากจะลองหยั่งให้ผู้อื่นเข้าใจในความลึกล้ำนั้น
การหยังในข้อนี้นั้น ย่อมไม่ใช่การใช้กำลังของปัญญาหรือตรรกะของตนเองมาเพื่อใช้ทำความเข้าใจ
แต่ต้องอาศัยความตื่นรู้และดำดิ่งเพื่อดูความเป็นไปอย่างสงบงัน
จึงอาจสามารถเห็นและเข้าใจบ่อเกิดที่ล้ำลึกด้วยตนเองได้
ซึ่งก็คือการเข้าใจในธรรมชาติแห่งตนและปรัชญาอันเป็นปัญญานั่นเอง
   "ความล้ำลึกสุดแสนนั้น คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต"
ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิตนี้ย่อมเป็นความเข้าใจที่ต้องเข้าใจด้วยตนเองเป็นแน่
คือการรู้แจ้งด้วยตน คลายความสงสัยด้วยตน ต่อความจริงแห่งตนและสรรพชีวิต
และสิ่งนี้แหละคือสติปัญญาที่ท่านเล่าจื้อแนะนำให้พวกเรากระทำให้แจ้งชัด

    การพิจรณาคำภีร์เต่าเต็กเก็งบทแรกของผมก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้
หากท่านผู้อ่านมีความสงสัยตรงจุดไหน
อยากตำหนิหรือแนะนำในความผิดพลาดของผมว่าอย่างไร
ก็สามารถโพสข้อความไว้ด่านล่างได้นะครับ ผมจะน้อมรับทุกคำถามแน่นอน


ชีวิตและปรัชญา

      ความปราถนาหนึ่งที่นักปราชญ์ต้องการอบรมและปลูกฝังแก่ผู้คนทั้งหลาย
ก็คือการที่ชนทั้งหลายเป็นคนที่มีคุณธรรม
นักปราชญ์จึงมิได้ละทิ้งต่อเรื่องของการให้การศึกษา
ซึ่งดูคล้ายกับว่าเป็นหน้าที่ๆ หนึ่งที่พึงกระทำต่อสังคม
เนื่องจากมันเป็นทางให้สังคมได้รับความสงบสุขตลอดจนเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวผู้คนทุกคนเอง
อันบุคคลเมื่อได้รับการศึกษาแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติอันพึงประสงค์
นับเป็นบัณฑิตที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
พ้นจากการเป็นคนพาลสันดาลหยาบผู้ซึ่งมิเคยผ่านการฝึกอบรมใดๆเลย
เหล่านี้แลเป็นคุณประโยชน์ที่ผู้มีปัญญาดีไม่พึงประมาท
 
    การเข้าถึงปรัชญาได้นั้นย่อมมีหนทางอยู่และหนทางนั้นก็คือการพัฒนาจิตใจ
การพัฒนาจิตใจในที่นี้ย่อมหมายถึงการพัฒนาสติปัญญาของตนเองด้วย
ผู้รู้จักอบรมตนให้ตั้งมั่นในความชอบธรรมโดยหลีกเลียงจากการคบหากับคนพาล
ไม่กล่าวเท็จ เว้นจากการฆ่า และไม่สำส่อนทางเพศ เป็นต้น
จึงจะสามารถรักษาปรัชญาเอาไว้ได้
เหล่านี้เป็นถือตัวอย่างของการตั้งตนไว้โดยชอบธรรม
จากนั้นเขาก็จะต้องพิ่มพูนสติปัญญาของตนให้เพิ่นพูนขึ้นทุกขณะ
จนสามารถหลุดพ้นจากความหลงใหลมัวเมาในทุกๆสรรพสิ่งได้
ข้อนี้ย่อมแสดงออกถึงความเป็นบัญฑิตของนักปราชญ์ได้ดี
ว่าแท้จริงแล้วนักปราชญ์ย่อมสั่งสมแต่ความดีงามมิใช่อย่างอื่น
ดั่งคำของท่านเว่ยหลางที่ว่า
"การเข้าถึงปรัชญาคือการพัฒนาสติปัญญาให้พ้นจากความเหลวใหลและมืดบอด
เพราะการเข้าถึงปรัชญานั้นคือการเข้าใจในธรรมชาติของตน"
     ในการเรียนรู้มันย่อมมีความจำเป็นในขั้นต้นที่เราต้องทราบเสียก่อนว่านักปราชญ์นั้นเป็นคนเช่นไร
และปรัชญานั้นเป็นลักษณะของสติปัญญาแบบไหน
เพื่อการเตรียมความพร้อมในลักษณะที่ว่าให้เขาได้รู้จักมันคล่าวๆ
ว่ามันเป็นอย่างนี้ มีทางเดินไปอย่างนี้  เขามีความสนใจไหม
เพื่อยืนยันในสิ่งที่เขากำลังสนใจและอยากจะเรียนรู้ให้ได้ก่อน
อย่างนี้ก็นับว่าเป็นความพรั่งพร้อมด้วยศรัทธาแล้ว
จากนั้นเราจึงให้เขาค่อยๆเปลี่ยนตัวเองไปตามความถูกต้องที่สติปัญญาของเขาชี้ชัดลงไปว่า
สิ่งนั้นมันมีธรรมชาติเป็นอย่างนี้และจะทำเช่นไรกับสิ่งนั้น
หลักปรัชญาจึงไม่มีหลักวิชาการและกฏระเบียบอะไรมากมายในการเรียนรู้
เพียงแต่ใช้การมองหาปรัชญาที่มีอยู่ในตนแล้ว จากนั้นเขาก็จะเริ่มปรับปรุงตัวเอง
มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย เช่นนี้แล

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

การพยาบาท VS ให้อภัย
บางคนบอกว่าต้องตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น
แต่บางคนกลับบอกว่าจงให้อภัยและปล่อยวางเสีย
อะไรนะที่เป็นทางเลือกสำหรับการพ้นจากสิ่งร้ายๆที่เข้ามา
หากเราเลือกที่จะทำลายสิ่งนั้นเพื่อให้ต้นเหตุนั้นหายไปหรือหลีกไปจากเรา
เราก็อาจจะพ้นจากเรื่องร้ายๆได้
และเป็นเรื่องทางกายภาพที่มองเห็นได้ชัด
แต่ถ้าเป็นเรื่องทางใจล่ะ เราจะพ้นจากเรื่องร้ายๆด้วยการทำลายมันได้หรอ
ผมว่ามันยังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร
เพราะว่าถึงแม้เราจะทำลายสิ่งนั้นไปแต่ใจเราก็ยังคงไม่ได้มีอิสรภาพจากมัน
เรายังคงคิดถึงมันอยู่และยังคงรับรู้ถึงกรรมที่ก่อไว้
ทางที่เหมาะสมสำหรับจิตใจที่จะพ้นจากปัญหาร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
จึงน่าจะเป็นการให้อภัยมากกว่า
เพราะเมื่อเราสามารถให้อภัยได้จิตใจของเราก็จะปล่อยวางต่อปัญหา
และกลับมาสงบผ่องใสได้อีกครั้ง
จากนั้นเราจะสามารถแก้ไขเรื่องร้ายๆด้วยสติปัญญาไม่ใช้กำลังเข้าย่ำยี
และในวินาทีที่สามารถปล่อยวางได้นั้นก็ถือได้ว่าเราสามารถพ้นจากเรื่องนั้น
ในทางจิตใจได้แล้ว
ใจเราจะไม่วนเวียนจมปลักจนขลุกอยู่แต่กับเรื่องที่เป็นปัญหานั้น
จนมันอาจกลายเป็นการอาฆาตพยาบาทไปเสีย
อันไปการผูกเวรที่ไม่จบไม่สิ้นแก่ชีวิตตนและไม่ใช่ทางหลุดพ้น
ใครฟังแล้วจะเลือกเดินทางไหนก็สุดแล้วแต่เขาเพราะผมไม่สามารถไปห้ามได้
แต่ถ้าให้แนะนำล่ะก็ผมก็จะแนะนำว่าขอว่าจงให้อภัยเสียเถอะ
และผมเองก็จะพยายามเช่นนั้นหมือนกัน