ในตอนนี้ผมได้พิจรณาเนื้อหาของตำราเต๋าเต็กเก็งของท่านเล่าจื้อมาถึงบทที่๔ แล้ว
และในครั้งนี้ผมก็ยังต้องย้ำกับผู้อ่านอยู่เหมือนเดิมว่าผมได้วิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเล่มนี้ในฐานะนักศึกษามิใช่ผู้รู้
และหากการตีความของผมผิดเพิ้ยนไปจากความจริงหรือทัศนคติของท่าน
ผมก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ
เต๋าเต๋อจิง บทที่๔ รูปลักษณ์แห่งเต๋า
" เต๋านั้นคือความเวิ้งว้าง แต่คุณประโยชน์ของเต๋ามิรู้สิ้นสุด
คล้ายต้นกำเนิด น้ำพุแห่งสรรพสิ่ง
ลึกสุดหยั่งคาด เวียนวน ยุ่งเหยิง ซับซ้อน แแผ่วเบา
แจ่มกระจ่างดุจแก้วผลึก ใสสอาดดุจน้ำอันสงบนิ่ง
ข้าพเจ้ามิรู้ว่าเต๋ากำเนิดจากแห่งใด คล้ายดำรงอยู่ก่อนธรรมชาติ "
..................
ก่อนอื่นผมต้องสารภาพว่าผมไม่สามารถจะอธิบายเต๋าบทนี้ที่ละประโยคเหมือนอย่างบทที่ผ่านๆมาได้
เป็นเพราะว่าผมเริ่มศึกษาเต๋าด้วยความไม่รู้และในบทที่๔นี้เมื่อท่านเอ่ยขึ้นมาว่า "เต๋า" มีลักษณะอย่างนี้
ผมจึงต้องพยายามมองหาอะไรก็ตามที่มีลักษณะเหมือนหรือใกล้เคียงกันมาเปรียบเทียบและเทียบเคียงกันดูว่าใช่หรือเปล่า
เพื่อสามารถยืนยันกับผู้อ่านได้ว่าสิ่งนี้คือ "เต๋า" ที่ท่านเอ่ยถึง
แต่ทว่าผมไม่สามารถคิดหรือวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมไม่รู้จักมาก่อนได้
เพราะผมย่อมไม่มีสัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ใช้ในการคิดและการทำความเข้าใจ
มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน พูดตามธรรมดาก็คือผมนึกอะไรไม่ออก
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผมได้พิจรณารอบคอบแล้ว ผมจะขออธิบายดังต่อไปนี้
การทำความเข้าใจต่อความเป็นจริงของสรรพสิ่งนั้นมีลักษณะเดียวกัน
ธรรมชาติที่เป็นจริงนั้นเราอาจเเบ่งเป็นที่ รับรู้ได้ และที่ เข้าใจได้
แน่นอนว่าการรับรู้เกิดขึ้นผ่านอายตนะ ส่วนความเข้าใจเกิดจากตรรกะหรือการสร้างเหตุผล
ทั้งสองต่างก็เป็นธรรมชาติของการรู้ตามธรรมดาทั่วไป
และมันก็เป็นสิ่งที่สร้าง ความรู้ ให้แก่เรา ซึ่งเป็นความจำและเป็นความหมายในสรรพสิ่ง
ข้อมูลที่เป็นความรู้ความเข้าใจนี้คนเราต่างก็สร้างกันเอาไว้อยู่ในทุกๆวัน
ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ทำไม ใดบ้าง <<< ทำนองนี้ซึ่งถือเป็นสติปัญญาแบบหยาบๆ
ที่ทุกๆคนต้องมีเป็นปกติ
ความรู้ จดจำรูปลักษณ์เชื่อมโยงกันด้วยเหตุและผล แปรเป็นความคิดเห็็น กำหนดทัศนคติ
มุมมอง และรสนิยม ต่อด้วยการกระทำต่อสิ่งต่างๆ
ในขณะพิจรณาผมจึงรู้สึกว่ามันมีลักษณะคล้ายกับการพิจรณาและการจดบันทึกที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนั้น
กล่าวคือผมพยายามสร้างข้อเท็จจริงว่าสิ่งต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ทำให้ผมเห็นว่ามันเป็นบันทึกของ ความเข้าใจ
มันเป็นสิ่งที่ผมแทนที่ลงไปบนหน้ากระดาษที่เดิมนั้นว่างเปล่า
เหมือนกับการสมมติบัญญัติขึ้นซึ่งรูปธรรมนามธรรมในกระบวนการทางการเรียนรู้ของคนเรา
แต่ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ควรมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความจริงที่มันเป็น
เนื่องจากความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งมีมากก็ยิ่งช่วยพัฒนาสติปัญญาของเราได้มาก
อันส่งผลให้สิ่งที่เราสามารถ รับรู้ได้ และ เข้าใจได้ ตั้งยู่บน ความจริง
ตามธรรมดาเราอาจแบ่งชั้นของความเข้าใจ นี้ออกเป็นที่หยาบและละเอียดได้
โดยการนำไปเปรียบเทียบกับความจริงตามที่ เป็น
ยกตัวอย่างเช่น คนสมัยก่อนบอกว่าโลกนี้แบนราบเหมือนแผ่นกระด้ง
คนในสมัยนั้นก็เข้าใจไปว่ามันคงแบนเรียบเหมือนแผ่นกระด้งจริงๆ เห็นมันดูเรียบๆ
แต่ต่อมาเมื่อมีคนพิสูจน์และบอกว่าโลกนี้มันเป็นทรงกลม เราในสมัยนี้จึงได้เข้าใจว่าจริงๆแล้วโลกมันกลม
นี่เป็นลักษณะของการเข้าใจโดยเชื่อหรือการ วางใจ มันย่อมทำให้ได้รับความจริงตามที่เป็นน้อย
ลักษณะต่อมาคือความเข้าใจโดยการพิสูจน์ มันเป็นการค้นคว้าด้วยการทดสอบและคิด คำนวณ
ดังเรื่องของเอราทอสเทนีสเขาเป็นคนเเรกที่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่าโลกนั้นกลม
เขาทดสอบมันและคำนวณมันได้ผ่านองศาของแสงอาทิตย์ที่กระทบต่อสองจุดที่ห่างกันออกไป
แถมเขายังคำนวณได้อีกว่าแท้จริงแล้วโลกนี้มันกว้างใหญ่เพียงใด
นั่นคือคำนวณได้ 25,000 ไมล์ คาดเคลื่อนจากข้อมูลปัจจุบันไปเพียง 140 ไมล์เพียงเท่านั้น
ด้วยการคำนวณจากข้อเท็จจริง ความจริง ที่ได้รับจึงเพิ่มมากขึ้น
และสุดท้ายคือความเข้าใจที่ย้อนมาสู่จุดเริ่มต้น
ซึ่งมันเป็นเรื่องของการพัฒนาสติปัญญาเพื่อให้รู้จักตัวเองเพิ่มมากขึ้น
ให้รู้เห็นกระบวนการสมมติบัญญัติ และมองหา ความเข้าใจ ณ จุดเริ่มต้น
ซึ่งเป็นวิธีทำให้เกิดความเข้าใจ อีกรูปแบบหนึ่ง
เพื่อสามารถทำความเข้าใจโลกและสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นได้เพิ่มมากขึ้น
และยังช่วยทำให้เรารู้จักว่าตัวเองนั้น รู้ หรือ ไม่รู้ ตามความเป็นจริงได้
ซึ่งการทำความเข้าใจในแบบนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจที่จะทำให้ได้รับแต่ ความจริง อีกด้วย
และการทำความเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านเล่าจื้อสอนให้เราพิจรณามาตั้งแต่ต้นนั่นเอง
เมื่อท่านเล่าจื้อเอ่ยถึงลักษณะของ เต๋า ที่ฟังๆไปแล้วก็รู้สึกว่าจะมีลักษณะที่ขัดแย้งกันอยู่
มันทำให้การ นึก หาอะไรที่เป็นแบบนั้นเป็นเรื่องยาก การคิดแบบสืบสวนและตรวจสอบจึงไปอาจเกิดขึ้น
และอันที่จริงจากการศึกษาเต๋าในบทก่อนหน้านี้ ทำให้เรารู้ว่าอาการไม่นึก นั้นน่าจะถูกแล้ว
ในการค้นหาความจริงแบบนี้
เพราะการนึกอะไรขึ้นมาเทียบเคียงดูนั้นเป็นการสร้างหรือการคาดคิด ไม่ใช่การเห็นความจริง
การนึกเป็นกระบวนการซึ่งชาวพุทธเรียกว่า"มีสัญญา"
มันเป็นการตรวจสอบหาความหมายและความเป็นไปโดยธรรมชาติของสติปัญญา
แตกต่างจากวิธีที่ท่านสอนให้เราใช้ตรวจสอบนั่นคือ ความว่าง ซึ่งคล้ายกับวิธีวิปัสสนาในพุทธศาสนาของเรา
จนทำให้ผมรู้สึกว่าการ นึก นั้นเป็นวิธีพิจรณาหรือใคร่ครวญที่ผิดไปเลยทีเดียว
ทั้งที่ธรรมชาติของคนเราเองก็มีปกติเป็นแบบนั้นเหมือนๆกัน
อย่างไรก็ตาม หากเต๋าสามารถเป็นความรู้ได้ เต๋าก็ต้องมีความจริง ให้ ความรู้ จดจำในความเป็นจริงด้วย
ดังนั้นเต๋าจึงเป็นสิ่งที่สามารถ เข้าใจได้ อย่างหนึ่ง
การสมมติเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และการนึกและการคิดนี่แหละที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งมัน
และอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนปรุงแต่งเองมีปัญหาด้วย
ท่านเล่าจื้อท่านผูกมัดสติสัมปชัญญะเราไว้ด้วยความเข้าใจว่าจะไม่ยกอะไรขึ้นมาเปรียบเทียบและเทียบเคียง
คือลักษณะเพียงแต่รู้แต่ไม่ให้นึกและไม่ให้คิด
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์คล้ายการวิปัสสนาอยู่เหมือนกัน
และเมื่อหยุดการนึกในขณะเห็น ความคิดหรือการปรุงแต่งก็หยุดลงไปด้วย
อันมีลักษณะคล้ายการยุติสภาพของการสมมติอันเป็นสิ่งที่เราทำกันอยู่ตามปกติไป
หรือว่านี่จะเป็นลักษณะแห่ง เต๋า ลักษณะหนึ่งด้วย
แต่อย่างไรก็ตามผมไม่ควรยกอะไรขึ้นมาเทียบเคียง ซึ่งจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ออกไป
อันมิใช่การค้นหาความเป็นจริงด้วยการเห็น นั่นเอง
จบลงแล้วนะครับสำหรับการพิจราณาคำภีร์เต๋าเต็กเก็งในบทที่ ๔
และน่าจะเป็นการพิจรณาเป็นบทสุดท้ายแล้วด้วย
หากเนื้อหาในบทความนี้มีความบกพร่องหรือมีความผิดพลาดประการใด
ผมก็ขออภัยไว้ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
และหากเป็นไปได้ก็ขอให้ท่านช่วยชี้แจงหรือให้คำแนะสำหรับข้อผิดพลาดต่างๆ
หรือความเข้าใจผิดต่างๆ ที่ท่านมองเห็น แก่ผมด้วย
เป็นได้ผมก็จะขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น