วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่ ๗

       เรื่องของความดีงามจะว่าไปแล้วก็เป็นเหมือนสิ่งสมมติทางสังคมที่เป็นค่านิยมเรื่องความถูกต้อง
แต่ความดีงามนี้อาจกระทำอย่างหลอกลวงกันก็ได้เพื่อหวังการยอมรับและคำยกย่องจากผู้อื่น
ส่วนความดีงามที่กระทำโดยสุจริตนั้นมาจากจิตสำนึกที่เร้าคุณธรรมหรือมีคุณธรรม
ความดีงามนั้นมักจะเป็นค่านิยมตามความเชื่ออย่างเช่น เชื่อว่าจะได้รับผลดีตอบแทนหรือได้ขึ้นสวรรค์ เป็นต้น
ท่านเล่าจื้อเองก็สอนให้ผู้คนประพฤติในสิ่งที่ดีงามเช่นกัน แต่ท่านไม่ได้สอนแบบนั้น
ท่านไม่เคยอาศัยหลักความเชื่อหรืออาศัยความศรัทธาใดๆ ความดีงามของท่านล้วนเกิดมาจากความรู้ความเข้าใจ
หากเราสามารถเข้าใจในถ้อยคำของท่านเราก็จะพบว่าท่านเพียงอธิบายธรรมชาติตามที่เป็นจริง
เราจึงไม่ปฏิเสธและปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านโดยซื่อตรงด้วยปัญญา
โดยปกติแล้วคนเราจะทำสิ่งใดย่อมหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่าอยู่เสมอ
แต๋เต๋านั้นเป็นการเข้าใจในธรรมชาติซึ่งไม่มีผลให้คาดหวัง แต่ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่ชีวิตย่อมมีอยู่
เพราะเต๋าคือความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตที่แท้จริง มีความสมบูรณ์จนไม่อาจก่อตัณหาเพิ่มเติมได้อีก
เต๋าได้ชื่อว่าทาง เป็นทางที่ก่อให้เกิดความดีงาม
ผู้ที่จิตใจยังปกคลุมด้วยราคะพยาบาทย่อมจะเดินไปในทางอื่นและมีชีวิตในแบบอื่น(การใช้ชีวิต)
บทความที่ผมกำลังจะกล่าวอรรถาธิบายต่อไปนี้เป็นบทที่เจ็ดจากตำราเต๋าเจ๋อจิงของท่านเล่าจื้อ
ซื่งแฝงด้วยนัยะของการลดละความเห็นแก่ตัว
ผู้มีปัญญาดีเมื่อได้รับฟังแล้วก็อาจเบิกบานด้วยใจยินดีตามคำท่านได้
อนึ่งผมพิรณาเต๋าในฐานะของนักศึกษาที่เพิ่งจะเริ่มต้นและยังมิใช่ผู้รู้จึงอาจมีความเข้าใจที่ผิดพลาดอยู่
ผมจึงหวังได้รับการให้อภัยในข้อที่ผิดพลาดนั้น
และหวังให้ท่านช่วยชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่างในข้อผิดพลาดนั้นด้วย
หากเป็นได้ก็จะขอขอบคุณล่วงหน้าครับ



      เต๋าเต๋อจิง บทที่๗ มิได้อยู่เพื่อตนเอง

   " ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตัวเอง จึงสามารถอยู่ได้คงทน
ดั้งนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนไว้รั้งท้าย แล้วก็กลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเองกลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองมิใช่หรือ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ "
         ...........................................


   คนเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต่างคนก็ต่างขวนขวายหาใส่ปากใส่ท้องของตน
หลายคนใส่ใจแต่เฉพาะตัวเองจนลืมใส่ใจบุคคลอื่น
การดิ้นรนทำให้เกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างกัน
สะสมเพิ่มพูนจนต่างคนต่างก็มีความรู้สึกเห็นแก่ตัว
แต่สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยน้ำใจ ดังนั้นนักปราชญ์จึงจำเป็นต้องอบรมปลูกฝังธรรมะลงในหัวใจของผู้คน
เพื่อมุ่งหวังให้คุณธรรมศีลธรรมช่วยค้ำจุนสังคมเอาไว้ไม่ให้เกิดความวุ่นวายแตกแยกขึ้น
   " ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตัวเอง จึงสามารถอยู่ได้คงทน "
    ฟ้าและดินเป็นธรรมชาติที่สอดคล้องแหมาะสมจึงทำให้ชีวิตสามารถเจริญเติบโตได้
ฟ้าและดินต่างก็ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตโดยไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนผู้คนจึงไม่อาจชิงชัง
การทำหน้าที่ของฟ้าและดินเป็นตัวอย่างของการทำหน้าที่โดยไม่ได้แสดงตัวตนให้ปรากฏ
ข้อนี้ผมหมายความว่า  ฟ้าดินไม่ได้มุ่งหวังผลใดๆ  เพื่อตนเอง
เพราะการกระทำของฟ้าดินเปรียบเหมือนไร้ตัวตน จึงไม่ได้สนใจต่อคำสรรเสิญและนินทาใดๆ
ข้อนี้จึงอาจเป็นการแสดงออกแทนความคงทนตั้งมั่นของฟ้าและดินได้
การทำความเข้าใจในธรรมชาติเพื่อรู้จักซึ่งความถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติตน
ก็เพื่อการปกปักรักษาคุณค่าของสิ่งๆ นั้นให้ยั่งยืน
การอยู่ร่วมในสังคมก็เช่นเดียวกัน หากผู้คนทั้งในระดับบุคคลไปถึงระดับสังคมใหญ่
ต่างก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันหรือมุ่งหมายความเป็นใหญ่กันแล้วล่ะก็
สังคมนั้นย่อมเกิดความวุ่นวายและความแตกสามัคคีกัน
การทุจริตคดโกงต่อกันและการสร้างความแตกแยกในสังคมใยจะไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัว
เพราะเมื่อเห็นแก่ตัวแล้วเลห์เพทุบายต่างๆ ก็มีตามมา
เพื่อทำให้ตัวเองได้อยู่หน้าคนอื่นหรืออยู่สูงกว่าคนอื่นในด้านต่างๆ นั้น
   "ดังนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย แล้วก็กลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเองกลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองมิใช่หรือ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ "
    ปราชญ์ไม่ได้ศึกษาธรรมะเพียงเพื่อทำความเข้าใจเท่านั้นแต่ท่านยังมีความเคารพในธรรมนั้นด้วย
นี่หมายความว่าการใช้ชีวิตของท่านถึงแม้จะมีอิสรภาพแต่ก็ยังเดินไปตามทางที่เห็นว่าถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ
สังคมมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและร่มเย็นก็เพราะผู้คนเปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีไม่เห็นแก่ตัว
นักปราชญ์เมื่ออยู่ในสังคมท่านจึงมิได้เห็นแก่ตัว นี่ก็ถือว่าเป็นการเคารพต่อธรรมอย่างหนึ่ง
การทำงานของท่านจึงเปรียบเหมือนการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็พากันตักตวงสั่งสมใส่ตนเองท่าเดียว
นี่จึงอาจถือได้ว่าท่านเป็นแบบอย่างของโลกได้ด้วย
"ละเลยต่อตนเอง" คำนี้เป็นคำพูดธรรมดาแต่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
คำว่าละเลยต่อตัวเองนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เอาใจใส่ตัวเองหรือห้ามให้ความสนใจต่อตัวเองแต่อย่างใด
เพราะทั้งหมดนี้ที่แนะนำมาไม่ได้เป็นความเชื่อหรือเป็นอุดมการณ์
แต่กลับเป็นการช่วยเหลือตนเองของผู้ปฏิบัติในการกำจัดอวิชชาเพื่อการมีชีวิตที่สุจริตขึ้น
อันเป็นวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง
ซึ่งอาจจำเป็นต้องย้อนไปดูคำพูดของท่านเล่าจื้อในบทก่อนหน้านี้เพื่อทำความเข้าใจต่อคำพูดดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้นว่า
  "เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น" (จากบทที่สอง)
   นี่คือลักษณะของตัวตนและการตกอยู่ในสภาวะ โดยการมีอุปปาทาน
คำว่าตัวตนในเต๋านั้นไม่ได้หมายความว่าตัวเอง แต่กลับหมายถึงรูปธรรมนามธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นในตน
หรือก็คือกระบวนการของความคิดปรุงแต่งที่เป็นที่มาของตัวเองและสิ่งอื่นๆ
หากเราคิดว่าตัวเองขี้เหร่เราก็อยากดูดีขึ้นมา และหากเราเห็นว่าตัวเองเป็นคนชั่วเราก็อยากเป็นคนดีขึ้นมา
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่มักเป็นไปตามค่านิยมที่สังคมกำหนดไว้
เมื่อมีตัวตนและสนใจต่อตัวเองขึ้นมาคนเราก็จะทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อสนองกิเลสตัณหา
มากกว่าคิดทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อส่วนรวม
การละเลยต่อตนเองจึงมีความหมายในทำนองนี้ ละเลยแล้วกลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดีนี่หมายความว่า
เราไม่ได้แบกรับการคาดหวังใดๆ อยู่ ทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นและมีความยินดีในการทำหน้าที่
การไร้แรงกดดันทั้งต่อภายนอกและภายในกลับทำให้คนเราทำหน้าที่ต่างๆ โดยสุจริตขึ้นได้
ละเลยต่อตนเองจึงเปรียบเหมือนการละทิ้งโลกธรรม อันเป็นความสนใจในสิ่งที่เป็นเปลือก
ถ้าไม่ทำแบบนี้เราก็จะใช้ชีวิตไปตามกิเลสตัณหานะ ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตอย่างบัญฑิตหรืออริยะได้เลย
แต่คนที่เติมเต็มตนเองด้วยความดีงามและสติปัญญากลับมีความสมบูรณ์ในตนเองได้
นี่เป็นเพราะท่านรู้จักละทิ้งตัวตนที่เป็นเพียงสภาวะสมมติ
ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า"เพราะปราชญ์ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองมิใช่หรือ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ "
ว่าโดยย่อก็คือลักษณะของ ความไม่เห็นแก่ตัว นั่นเองที่ทำให้เกิดความรู้สึกพอใจต่อชีวิตของตน
และมีชีวิตที่บริสุทธิ์ดีงามมากขึ้น
เมื่อตัดทอนความทะยานอยากได้ จิตใจก็จะ สงบ
               ..................................................................

     ผมขอจบการอธิบายปรัชญาจากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่๗ ลงแต่เพียงเท่านี้นะครับ
และหวังว่าจะได้รับความอนุเคราห์จากท่านผู้อ่านทุกท่าน
ในการแก้ไขเพิ่มเติมตรงจุดที่ผมยังเข้าใจไม่ถูกต้องตามที่ท่านเล็งเห็นอยู่
ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเสียสละเวลามานั่งอ่านบทความของผมด้วยครับ
"หากฟ้าดินต่างก็พากันเห็นแก่ตัว สังคมเราจะอยู่ร่มเย็นได้หรือ"(อันนี้ความเห็นผมเองครับ)





วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่ ๖

    ท่านเล่าจื้อเคยกล่าวถึงผู้ที่เคยได้รับฟังเต๋าว่าอาจจำแนกได้เป็น3 ประเภท คือ
พวกแรกเหมือนคนที่มองไปบนท้องฟ้าในยามค่ำที่ฟ้ากระจ่างไร้เมฆบัง
เขาย่อมสามารถมองเห็นดวงดาวและกลุ่มดาวต่างๆ ได้กระจ่างชัด
พวกต่อมาคือผู้ที่มองไปบนท้องฟ้ายามค่ำขณะมีเมฆปกคลุมอยู่บางส่วน
เขาย่อมไม่อาจมองเห็นดวงดาวและกลุ่มดาวได้กระจ่างชัดและต้องใช้จินตานาการถึงส่วนที่เหลือนั้น
พวกสุดท้ายคือพวกมองฟ้าที่กำลังปกคลุมไปด้วยเมฆฝนเขาย่อมไม่สามารถมองเห็นดวงดาวใดๆ ได้
พวกแรกก็คือคนผู้มีคุณธรรมและมีปฏิภาณเกี่ยวกับคุณงามความดีอยู่ในตนอยู่แล้ว
คนเหล่านี้ย่อมสามารถเข้าใจและสามารถปฏิบัติตนตามอย่างที่เรียกว่า"เต๋า" ได้ในทันที
พวกที่สองก็คือคนที่ฟังแล้วรู้สึกว่าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างนั่นเอง
คนพวกนี้คือพวกที่จะมีความศรัทธาและคิดว่าเต๋าคืออุดมคติแต่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความงมงายได้
เพราะเขายังคาดคะเน"เต๋า" ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งวิเศษอยู่
และพวกสุดท้ายนั้นก็คือคนที่ไม่ยอมรับฟังเลยนั่นเอง เป็นพวกที่มีปฏิภาณเกี่ยวกับคุณงามความดีน้อย
คนพวกนี้เมื่อได้รับฟังเต๋าก็กลับเห็นในสิ่งตรงกันข้ามว่าเหมาะสมและหัวเราะห์เยาะให้กับคำแนะนำเหล่านี้
ว่าโดยย่อคือการเป็นผู้ปฏิบัติตนด้วยความเข้าใจในธรรมะนั่นเอง
ประมาณว่าความเข้าใจในธรรมะจะช่วยส่งผลให้คิดพูดทำแต่ในทางดีๆ
และเป็นประโยชน์เป็นความสุขโดยส่วนรวม
ที่ผมต้องเริ่มต้นโดยพรรรณาถึงระดับของผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวเต๋า
อย่างนี้ก็เพราะผมยังรู้สึกว่าขาดความมั่นในบทความที่กำลังจะแสดงในตอนนี้
ว่าสามารถพิจรณาเต๋าได้ถูกต้องหรือไม่ และควรนำออกมาเผยเเพร่หรือเปล่า
แต่เมื่อนึกขึ้นว่าผมยังศึกษาและพิจรณาเต๋าในฐานะของนักศึกษามิใช่ผู้รู้
และในทุกครั้งที่ได้นำบทความที่เขียนขึ้นมาจากการพิจรณาเต๋าออกมาเผยแพร่
ผมก็ต้องแจ้งความจริงข้อนี้ให้ผู้อ่านได้รับรู้เอาไว้ก่อนเสมอ
ผมจึงรู้สึกว่าถึงแม้ว่าผมจะอธิบายเต๋าได้ผิดพลาดไปเสียจากความหมายจริงๆ ของมัน
มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรตามมาแต่อย่างใด
เพราะผมได้บอกกับท่านผู้อ่านให้เกิดวิจรณญาณก่อนจะบรรยายไปแล้วนั่นเอง
ว่านี่เป็นแค่เพียงผลงานจากการศึกษาของผมที่ยังเป็นเพียงนักศึกษาไม่ใช่ผู้รู้
อย่างไรก็ตามมผมหวังว่าท่านผู้อ่านจะสามารถได้รับประโยชน์จากการพิจรณาของผมในครั้งนี้ไม่มากก็น้อยครับ

   

       เต๋าเต๋อจิง บทที่ ๖ มารดาอันมหัศจรรย์
   
  " มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ และเป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง ได้ก่อเกิดรากฐานเเห่งฟ้าและดิน
นานแสนนานสืบมาสิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่
มีคุณประโยชน์มากมาย ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น "
           ...............................................

   หลังจากอ่านบทความในข้างต้นจบ ในความคิดของผมจ่อมจมลงสู่ความนิ่งเงียบและสงบงัน
ผมไม่มีความคิดหรือความเห็นอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่รู้ว่าท่านพูดถึงอะไรอยู่
หลายวันมานี้ผมจึงพยายามท่องบทความในข้างต้นโดยอ่านจากบันทึก(ทั้งๆที่จำได้)
และท่องบนอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าวันละประมาณกว่าสิบรอบ
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผมคิดว่าจิตใจของผมมีความสงบร่มเย็นมากพอเช่นหลังจากตื่นนอน เป็นต้น
 เพื่อหวังว่าตนเองจะสามารถเข้าใจบทความดังกล่าวนั้นได้ขึ้นมาเอง
แต่การพยายามให้เกิดความเข้าใจในทำนองว่า " อ๋อ! รู้ล่ะ " โดยอาศัยความสงบงัน
มันทำให้เกิดความเข้าใจว่าความจริงแล้วผมกำลังมองหาความจริงข้อนี้จากตัวเองอยู่
ผมกำลังค้นหารูปแบบดังกล่าวจากรูปธรรมนามธรรมที่เป็นธรรมชาติของตน
และนั่นก็นับเป็นการได้ก้าวขาขึ้นไปยังจุดเริ่มต้นของการพิจรณาเต๋าในบทนี้
  "มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ และเป็นมาดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง ได้ก่อให้เกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน"
สิ่งที่มีฤทธิ์มากและมีความยิ่งใหญ่นี้คือ "จิตใจ" ของตนเอง
เป็นส่วนประกอบของนามธรรมในตน และเป็นที่ตั้งของการบัญญัติสมมติ
คือการปรุงแต่งวัตถุธาตุเป็น ประธาน กริยา กรรม สรรพนาม คำวิเศษณ์ คำขยาย
ที่ผมยกรูปแบบการเรียงประโยคในการใช้ภาษามาก็เพราะว่ามันมีความคล้ายคลึงกันอยู่
มันเป็นสิ่งที่เต๋าเรียกว่าการปรุงแต่งรูปและนามหรือการมีสภาวะ
สิ่งเหล่านี้เป็นภาพปรากฏการที่แสดงอยู่ในจิตใจของคนเรา (หรือควรเรียกว่าปรากฏกกรรมกันแน่นะ)
แต่ถ้าหากเป็นความเข้าใจที่ย้อนไปถึงจุดเหล่านี้ได้ล่ะ จะเป็นอย่างไร
กล่าวคือการละความยึดถือในสิ่งปรุงแต่งกับทั้งความหมายที่บัญัติกันเอาไว้
ไปจนถึงกระทั้งการผ่อยคลายจากความยินดียินร้ายต่างๆ ไปเสียได้
หรือที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร นั่นเอง
การผ่อยคลายไปเช่นนี้ย่อมส่งผลที่อาจเรียกได้ว่าไร้นามไร้สภาวะอย่างหนึ่งด้วย
และการทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าบ่อเกิดหรือ "มารดา" ในบทนี้นั่นเอง
ซึ่งจะเป็นการทำความเข้าใจในเรื่องราวของตนเองให้ชัดเจนมากขึ้นด้วยนั่นแหละ
เนื่องจากมารดาที่กล่าวถึงนี้เป็นแต่เพียงรูปแบบทางธรรมชาติเท่านั้น
จึงไม่อาจหยิบยกมาให้คนอื่นจับต้องได้เหมือนวัตถุและจำเป็นต้องอธิบายไปอย่างนี้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของคนเราและจะส่งผลให้เกิดความบริสุทธิ์ความดีงามได้ด้วย
และนั่นก็เป็นผลประโยชน์จากการทำความเข้าใจที่มองย้อนกลับไปหาสาเหตุเริ่มต้น
เพราะการทำความเข้าใจกับการไม่เคยทำความเข้าใจย่อมให้ผลต่างกัน
คนแรกย่อมไม่ยึดถือและไม่ติดอยู่ในสภาวะที่ถูกสร้างสรรค์ ทำให้การดำรงอยู่จึงได้ชื่อว่า"ไร้นามไร้สภาวะ"ไปด้วย
คนที่สองย่อมตกอยู่ในภพและมองเห็นเพียงปรากฏการณ์ที่ตนปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น
สภาพอารมณ์ของทั้งสองคนจึงแตกต่างกันไปด้วย
คนแรกย่อมมีดุลยภาพในใจไม่ขึ้นๆ ลงๆ แบบคนที่สอง การทำความเข้าใจจึงมีคุณค่าแก่ตัวเองอย่างนี้
คนที่ติดอยู่ในภพย่อมพยายามปรุงแต่งภพครั้นเมื่อไม่ได้อย่างใจก็ทำลายทุกอย่าง
ความดีงามที่แท้จริงจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากวิถีทางเช่นนั้น
การมีคุณธรรมและความดีงามที่แท้จริงโดยวิถีของมันจึงควรออกมาเสียจากการปรุงแต่งสภาวะก่อน
เพราะหากยังมัวเมาหลงใหลก็รังแต่จะเดินตามทางของกิเลสตัณหาและหลีกห่างจากทางแห่งเต๋าไปทุกขณะ
ทั้งตัวเองและบ้านเมืองก็ยิ่งห่างจากความสงบสุขเพิ่มมากขึ้นตามไป
ส่วนผลสืบเนื่องจากการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น สังคมก็จะมีอารยธรรมที่สท้อนถึงการเคารพคุณธรรมศีลธรรมได้
ข้อนี้แลเป็นประโยชน์อันกว้างขวางและยิ่งใหญ่ ยั่งยืน
การรู้เห็นถึงต้นเหตุของการเป็นอยู่ของคนเราไม่ได้ใช้วิธีการซับซ้อนแต่อย่างใด
เพียงแค่อาศัยการละการยึดมั่นอันมีกิริยาคล้ายการออกไปเสียเพียงแค่นั้น
เพราะสภาวะจะเป็นปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนต่อเมื่อตามด้วยอุปปาทานเท่านั้น
ท่านเล่าจื้อเคยกล่าวไว้ว่า "เราใช้ประโยชน์จากความมีและได้รับคุณประโยชน์จากความว่าง"
ในขณะนี้นั้นผมเองก็กำลังทำความเข้าใจในคำพูดนี้ให้กระจ่างอยู่นั่นเอง
    " นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังดำรงอยู่
      ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ใช้ได้ไม่รู้หมดสิ้น "
ข้อนี้สำหรับผมหมายถึงความว่าง ที่ว่างจากอุปปาทาน คือความยึดถือโดยสมมติสังขาร
ตรงแก่นแท้ของชีวิตนั้นมีความว่าง ส่วนสิ่งอื่นๆ นั่นค่อยๆ เพิ่มเติมเข้ามาทีหลัง
อันความว่างนี่แหละที่กล่าวได้ว่ามีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อสติปัญญาของคนเรา
เพราความว่างมันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับธรรมชาติ
เมื่อธรรมชาติเป็นความเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องตามเหตุและปัจจัย
ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของจิตใจที่แต่งแต้มด้วยกิเลสตัญหาของผู้ใดทั้งนั้น
ผู้ที่มีความยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมต้องเกิดความเสียใจ
เมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม
ข้อนี้แหละที่ผมกล่าวว่าเป็นความเศร้าหมองเพราะขัดแย้งกับธรรมชาติ
ทำให้ไม่สามารถรักษาดุลยภาพภายในจิตใจได้เลย
ฉนั้นเมื่อเกิดความเข้าใจในธรรมะจึงย้อนกลับสู่ความว่างเสมอ
พร้อมทั้งส่งมอบสิ่งต่างๆ คืนกลับธรรมชาติ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นต่อไป
ดังคำท่านเล่าจื้อว่า "เต๋านั้นคือความเวิ้งว้างแต่คุณประโยชน์ของมันไม่รู้สิ้นสุด"
ความดีงามที่่แท้จริงของคนเราก็คือจิตใจที่บริสุทธ์ชื่อตรง และมีอิสรภาพจากเครื่องร้อยรัด
ไม่อาจตกอยู่ภายใต้อำนาจฝ่ายต่ำอีก
จะคิดจะทำการสิ่งใดก็เล็งผลประโยชน์ที่ได้รับ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อส่วนตนและส่วนรวม
     หากจะมองดูให้ดีๆ ใจความที่ผมได้เขียนมาทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ในทำนองว่า
" ดุจดั่งแสงอรุณที่กระทำให้ดอกบัวแย้มบาน "
มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นก็คือแสงตะวันในยามอรุณ ส่วนดอกบัวก็คือจิตใจของผู้คน
สิ่งที่เปรียบเช่นดั่งแสงอรุณนี้มีลักษณะคือความว่าง
ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนยกย่องว่ามีค่าสูงส่งจึงดูคล้ายสิ่งธรรมดา
ส่วนสิ่งที่ผู้คนรังเกียจเหยียดหยามก็ไม่ได้รู้สึกว่าต่ำทราม
แสงสว่างชนิดนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นแก่นแท้ และการอาศัยแก่นแท้จึงสามารถมองเห็นสาระแท้ได้
จิตใจก็อาจกลับคืนบริสุทธิ์ ความชั่วร้ายที่อยู่ภายในใจเพราะความยึดมั่นต่างๆ ก็พลอยดับลงไป
ความดีงามก็ค่อยผลิบานได้









      ก็จบลงไปแล้วนะครับสำหรับการพิจรณาคำภีร์เต๋าเต็กเก็งในบทที่หกนี้
ผมหวังให้สิ่งที่ตนเองเขียนออกมามีความละเอียดและชัดแจ้งพอที่จะมีคุณค่าทางวิชาการ
จึงได้พยายามทุ่มเททำให้ออกมาดีที่สุด
แต่ด้วยความสามารถอันน้อยนิดจึงทำให้เขียนบรรยายได้เพียงเท่าที่ท่านเห็นอยู่นี้
ถึงแม้ผมสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าผมเข้าใจคำพูดของท่านได้
แต่นั่นอาจเป็นการเข้าใจผิดไปก็เป็นได้
ผมจึงขอรบกวนให้ท่านผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
กรุณาช่วยชี้แจงให้ผมเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยครับ เป็นได้ผมก็จะขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
หวังว่าผลงานการพิจรณาเต๋าครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบ้างนะครับ
               ......................................................





วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่ ๕

   ผมว่างเว้นจากการพิจรณาปรัชญาของท่านเล่าจื้อ ที่ตัวท่านเล่าจื้อเองได้กล่าวเรียกมันว่า "เต๋า" ไปนานพอสมควร
ด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ "เต๋า" นั้นยากแก่การพิจรณาตามวิสัยปกติทั่วไป
เพราะมันไม่สามารถคิดคำนวณหรือใช้เหตุผลเพื่อคิดวิเคราะห์ไปได้เสียทั้งหมด 
มีหลายคำพูดของท่านที่ทำให้ผมงุนงงเพราะไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไรกันแน่
ดังนั้นถ้าหากผมยังจะฝืนดึงดันพิจรณาโดยใช้ปัญญาเท่าที่มี ก็รังแต่จะอวดความโง่เขลาแก่ชาวโลกเขาไปเปล่าๆ
แต่หลักการพิจรณาเต๋านั้นก็มีอยู่ ดังในตำราเต๋าเต็กเก็งท่านก็ได้สั่งสอนเอาไว้เพื่อให้เกิดความรู้ยิ่งความรู้ดีตามท่านได้
ซึ่งเป็นการพิจรณาที่ต้องอาศัยประสบการณ์จริงในการกระทำตนหรือการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของท่าน
นั่นจึงเป็นแนวทางของการศึกษาปรัชญาเต๋าที่ถูกต้องจริงๆ
การพิจรณา เต๋าจึงเปรียบเสมือนการพิจรณา ผลจากการทดลองจริง แบบวิทยาศาสตร์
เมื่อเราสามารถเข้าถึงความเข้าใจก็จะตามมาเอง
ดังในเนื้อหาที่กำลังจะอธิบายในบทที่5 นี้ก็เป็นการปฏิบัติตนเพื่อเข้าใจเต๋าด้วยเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการพิจรณาเต๋าในบทที่5 ที่ผมกำลังจะแสดงต่อไปนี้ก็อาจยังมีข้อผิดพลาดอยู่
เนื่องเพราะผมเป็นแค่เพียงนักศึกษาที่เพิ่งจะเริ่มต้นศึกษา และยังไม่ใช่ผู้รู้ที่สามารถเข้าใจคำพูดของท่านได้อย่างแจ่มแจ้ง
ซึ่งหากมีถ้อยคำใดที่ผมกล่าวผิดพลาดไปผมก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ
และหวังว่าการพิจรณาปรัชญาที่เรียกว่า "เต๋า" ของผมในครั้งนี้จะสามารถเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย
 


  เต๋าเต๋อจิง บทที่๕ ประโยชน์ของสูบลม

  " ฟ้าดินนั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง
ปราชญ์นั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายดังผู้คนเป็นหุ่นฟาง
แท้ที่จริงแล้วฟ้า ดิน และปราชญ์ มิได้ไร้เมตตา เมตตานั้นคงมีอยู่
เพียงแต่ไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายในสรรพสิ่ง
ทำตนให้ว่างเหมือนสูบลม มีความว่างและความไร้
ครั้นเมื่อเคลื่อนไหวกลับให้พลัง
ยิ่งพูดมากคำก็ยิ่งไร้ประโยน์ พูดมากคำยิ่งเหน็ดเหนื่อย
มิสู้เก็บคุณค่านั้นไว้แต่เพียงภายใน
        ....................................

    " ฟ้าดินนั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง
ปราชญ์นั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายผู้คนเป็นหุ่นฟาง "
    ข้อนี้ท่านเล่าจื้อยกเอาธรรมชาติมาแสดงว่าธรรมชาติคือฟ้าและดิน
ที่ต่างก็ทำหน้าที่โดยมิได้แยแสต่อสิ่งใด
ฝนจะตกแดดจะออกน้ำจะท่วมแผ่นดินจะไหวก็ล้วนเป็นหน้าที่ของธรรมชาติ
ที่ขาดความปราณีปราศัย
จนในบางครั้งก็ทำลายสรรพสิ่งให้พินาศได้ในพริบตา
สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติที่คนเราต้องศึกษาทำความเข้าใจเอาเองจึงอาจสามารถปรับตัวให้รอดพ้นได้
ท่านเล่าจื้อบอกว่าปราชญ์เองก็มีลักษณะเดียวกันนี้อยู่เหมือนกัน
กล่าวคือการทำไปตามหน้าที่ของชีวิตตนและเพิกเฉยปล่อยวางต่อชีวิตอื่นๆ
และไม่เข้าไปขัดแย้งต่อสู้กับปัญหาทางสังคมโดยตรง
ความเป็นอยู่ของปราชญ์จึงคล้ายกับคนเฉยเมยและสิ้นห่วงใยต่อโลก

  " แท้ที่จริงแล้วฟ้า ดิน และปราชญ์ มิได้ไร้เมตตา เมตตานั้นคงมีอยู่
เพียงแต่ไม่ต้องการเข้าไปก่าวก่ายในสรรพสิ่ง"
    ท่านบอกว่าถึงแม้ว่าฟ้าดินและปราชญ์จะดูเฉยเมยต่อการมีชีวิตของผู้คน
แต่แท้จริงแล้วฟ้าดินและปราชญ์ยังคงมีน้ำใจต่อสรรพชีวิตอยู่
ดังฟ้าดินที่เป็นผู้ให้ชีวิตและทำให้สรรพชีวิตสามารถดำรงชีพได้อยู่
ดังปราชญ์ที่ยังคงถ่ายทอดความรู้โดยผ่านการให้การศึกษาแก่ผู้คนอยู่
" เพียงแต่ไม่ต้องการเข้าไปก่าวก่าย" นั่นเป็นเหตุผลของท่านที่ทำให้ท่านดูเหมือนวางเฉยต่อโลก
ซึ่งตัวท่านเล่าจื้อยังได้บอกเหตุผลของเรื่องนี้ในบทต่อๆ ไปอีกด้วย
ทั้งนี้โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าท่านมิต้องการลุกขึ้นเป็นผู้นำของสังคมและสร้างความขัดแย้งเสียเอง
ฟ้าดินและปราชญ์จึงเป็นผู้ให้แก่สรรพชีวิตอยู่เบื้องหลัง
คือการให้ธรรมะแก่จิตใจซึ่งไม่ต่างจากการให้อาหารแก่ร่างกายที่หิวโหยเลย

   " ทำตนให้ว่างเหมือนสูบลม มีความว่างและความไร้
ครั้นเมื่อเคลื่อนไหวกลับให้พลัง "
    การทำตนให้ว่างเหมือนสูบลมนี้ถือเป็นคำแนะนำในการปฏิบัติตน
ซึ่งแท้จริงแล้วคือการทำใจให้ว่างโปร่ง ปล่อยวางนานาปัญหาและภาระต่างๆ ที่แบกไว้เสีย
ทำเช่นนั้นจิตใจกลับได้รับการฟื้นฟูและกลับคืนสู่การมีสมรรถนะอีกครั้ง
เมื่อจิตใจได้รับความสงบร่มเย็นจึงเกิดกำลังใจและเมื่อปลดเปลื้องความห่วงอาลัยจึงพร้อมต่อสู้
นั่นหมายถึงการพร้อมเผชิญกับทุกๆอย่างด้วยความสงบ
การทำจิตใจให้รู้จักปล่อยวางจึงมีคุณค่า และแท้จริงแล้วกลับช่วยสร้างกำลังใจได้ด้วย

   " ยิ่งพูดมากคำก็ยิ่งไร้ประโยชน์ พูดมากคำยิ่งเหน็ดเหนื่อย
มิสู้เก็บคุณค่านั้นไว้แต่เพียงภายใน "
  ข้อนี้นับเป็นคำแนะนำที่มุ่งเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเมตตาธรรมและมีน้ำใจดีงามทั้งหลาย
ความชอบธรรมนั้นยากที่จะขับเคลื่อยด้วยการโต้แย้งและอาจจะเป็นการนำตนไปสู่ความขัดแย้งได้
เพราะผู้คนทุกหมู่เหล่าย่อมที่จะมีเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว
ความชอบธรรมของคนพาลก็คือความชอบใจข้อนี้ย่อมทำให้พวกเขามีความเห็นแตกต่าง
ไปจากผู้ที่ได้รับการศึกษามาโดยเฉพาะแน่นอน
ความเมตตาที่มีให้แก่คนเหล่านั้นจึงควรรู้จักอดออมด้วยความจำเป็นอย่างนี้
เพราะหากคิดฝืนดื้อดึงเข้าไปชี้นำสังคมโดยไม่รู้กาละเทศะสุดท้ายอาจทำให้รักษาความดีงามไว้ไม่ได้
ผู้ฝึกตนจึงควรรู้จักการปล่อยวางและยอมให้โลกโคจรไปตามวิถีของมัน
ปล่อยให้จิตใจที่มีความสงบร่มเย็นไม่มีความวุ่นวายขัดแย้งอยู่ภายในเป็นสิ่งขับเคลื่อนต่อไป
ดุจดังบรุษผู้มีความสงบงันบุคลิกภาพของเขาย่อมน่าเลื่อมใสกว่า คำพูดก็พลอยมีน้ำหนักกว่าไปด้วย
            ............................................................

    จบลงแล้วนะครับสำหรับการพิจรณา "เต๋า" ในบทที5 ซึ่งเป็นคำแนะนำสำหรับการดำรงกายวาจาใจ
ไว้ในสันติ
แต่หากการพิจรณาและการตีความของผมผิดพลาดไปในส่วนใด
ผมก็ต้องขออภัยและขอให้ทุกท่านช่วยชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยนะครับ
สุดท้ายผมอยากบอกว่าการพิจรณาโดยขาดการปฏิบัติยังเป็นเพียงการสร้างแบบจำลอง ซึ่งยังมิใช่ความเข้าใจ
เพราะเต๋านั้นมีการพิสูจน์ด้วยมิใช่เป็นแต่เพียงความรู้ไว้ประดับหัวคิด
ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่อ่านด้วยครับ

                     

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่ ๔

ในตอนนี้ผมได้พิจรณาเนื้อหาของตำราเต๋าเต็กเก็งของท่านเล่าจื้อมาถึงบทที่๔ แล้ว
และในครั้งนี้ผมก็ยังต้องย้ำกับผู้อ่านอยู่เหมือนเดิมว่าผมได้วิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเล่มนี้ในฐานะนักศึกษามิใช่ผู้รู้
และหากการตีความของผมผิดเพิ้ยนไปจากความจริงหรือทัศนคติของท่าน
ผมก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ
และหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการพิจรณาของผมในครั้งนี้ได้ครับ




     เต๋าเต๋อจิง บทที่๔ รูปลักษณ์แห่งเต๋า
" เต๋านั้นคือความเวิ้งว้าง แต่คุณประโยชน์ของเต๋ามิรู้สิ้นสุด
คล้ายต้นกำเนิด น้ำพุแห่งสรรพสิ่ง
ลึกสุดหยั่งคาด เวียนวน ยุ่งเหยิง ซับซ้อน แแผ่วเบา
แจ่มกระจ่างดุจแก้วผลึก ใสสอาดดุจน้ำอันสงบนิ่ง
ข้าพเจ้ามิรู้ว่าเต๋ากำเนิดจากแห่งใด คล้ายดำรงอยู่ก่อนธรรมชาติ "
          ..................

    ก่อนอื่นผมต้องสารภาพว่าผมไม่สามารถจะอธิบายเต๋าบทนี้ที่ละประโยคเหมือนอย่างบทที่ผ่านๆมาได้
เป็นเพราะว่าผมเริ่มศึกษาเต๋าด้วยความไม่รู้และในบทที่๔นี้เมื่อท่านเอ่ยขึ้นมาว่า "เต๋า" มีลักษณะอย่างนี้
ผมจึงต้องพยายามมองหาอะไรก็ตามที่มีลักษณะเหมือนหรือใกล้เคียงกันมาเปรียบเทียบและเทียบเคียงกันดูว่าใช่หรือเปล่า
เพื่อสามารถยืนยันกับผู้อ่านได้ว่าสิ่งนี้คือ "เต๋า" ที่ท่านเอ่ยถึง
แต่ทว่าผมไม่สามารถคิดหรือวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมไม่รู้จักมาก่อนได้
เพราะผมย่อมไม่มีสัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ใช้ในการคิดและการทำความเข้าใจ
มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน พูดตามธรรมดาก็คือผมนึกอะไรไม่ออก
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผมได้พิจรณารอบคอบแล้ว ผมจะขออธิบายดังต่อไปนี้

    การทำความเข้าใจต่อความเป็นจริงของสรรพสิ่งนั้นมีลักษณะเดียวกัน
ธรรมชาติที่เป็นจริงนั้นเราอาจเเบ่งเป็นที่ รับรู้ได้ และที่ เข้าใจได้
แน่นอนว่าการรับรู้เกิดขึ้นผ่านอายตนะ ส่วนความเข้าใจเกิดจากตรรกะหรือการสร้างเหตุผล
ทั้งสองต่างก็เป็นธรรมชาติของการรู้ตามธรรมดาทั่วไป
และมันก็เป็นสิ่งที่สร้าง ความรู้ ให้แก่เรา ซึ่งเป็นความจำและเป็นความหมายในสรรพสิ่ง
ข้อมูลที่เป็นความรู้ความเข้าใจนี้คนเราต่างก็สร้างกันเอาไว้อยู่ในทุกๆวัน
ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ทำไม ใดบ้าง <<< ทำนองนี้ซึ่งถือเป็นสติปัญญาแบบหยาบๆ
ที่ทุกๆคนต้องมีเป็นปกติ
ความรู้  จดจำรูปลักษณ์เชื่อมโยงกันด้วยเหตุและผล แปรเป็นความคิดเห็็น กำหนดทัศนคติ
มุมมอง และรสนิยม ต่อด้วยการกระทำต่อสิ่งต่างๆ
ในขณะพิจรณาผมจึงรู้สึกว่ามันมีลักษณะคล้ายกับการพิจรณาและการจดบันทึกที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนั้น
กล่าวคือผมพยายามสร้างข้อเท็จจริงว่าสิ่งต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ทำให้ผมเห็นว่ามันเป็นบันทึกของ ความเข้าใจ
มันเป็นสิ่งที่ผมแทนที่ลงไปบนหน้ากระดาษที่เดิมนั้นว่างเปล่า
เหมือนกับการสมมติบัญญัติขึ้นซึ่งรูปธรรมนามธรรมในกระบวนการทางการเรียนรู้ของคนเรา
แต่ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ควรมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความจริงที่มันเป็น
เนื่องจากความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งมีมากก็ยิ่งช่วยพัฒนาสติปัญญาของเราได้มาก
อันส่งผลให้สิ่งที่เราสามารถ รับรู้ได้ และ เข้าใจได้  ตั้งยู่บน ความจริง

    ตามธรรมดาเราอาจแบ่งชั้นของความเข้าใจ นี้ออกเป็นที่หยาบและละเอียดได้
โดยการนำไปเปรียบเทียบกับความจริงตามที่ เป็น
ยกตัวอย่างเช่น คนสมัยก่อนบอกว่าโลกนี้แบนราบเหมือนแผ่นกระด้ง
คนในสมัยนั้นก็เข้าใจไปว่ามันคงแบนเรียบเหมือนแผ่นกระด้งจริงๆ เห็นมันดูเรียบๆ
แต่ต่อมาเมื่อมีคนพิสูจน์และบอกว่าโลกนี้มันเป็นทรงกลม เราในสมัยนี้จึงได้เข้าใจว่าจริงๆแล้วโลกมันกลม
นี่เป็นลักษณะของการเข้าใจโดยเชื่อหรือการ วางใจ มันย่อมทำให้ได้รับความจริงตามที่เป็นน้อย
ลักษณะต่อมาคือความเข้าใจโดยการพิสูจน์ มันเป็นการค้นคว้าด้วยการทดสอบและคิด คำนวณ
ดังเรื่องของเอราทอสเทนีสเขาเป็นคนเเรกที่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่าโลกนั้นกลม
เขาทดสอบมันและคำนวณมันได้ผ่านองศาของแสงอาทิตย์ที่กระทบต่อสองจุดที่ห่างกันออกไป
แถมเขายังคำนวณได้อีกว่าแท้จริงแล้วโลกนี้มันกว้างใหญ่เพียงใด
นั่นคือคำนวณได้ 25,000 ไมล์ คาดเคลื่อนจากข้อมูลปัจจุบันไปเพียง 140 ไมล์เพียงเท่านั้น
ด้วยการคำนวณจากข้อเท็จจริง ความจริง ที่ได้รับจึงเพิ่มมากขึ้น
และสุดท้ายคือความเข้าใจที่ย้อนมาสู่จุดเริ่มต้น
ซึ่งมันเป็นเรื่องของการพัฒนาสติปัญญาเพื่อให้รู้จักตัวเองเพิ่มมากขึ้น
ให้รู้เห็นกระบวนการสมมติบัญญัติ และมองหา ความเข้าใจ ณ จุดเริ่มต้น
ซึ่งเป็นวิธีทำให้เกิดความเข้าใจ อีกรูปแบบหนึ่ง
เพื่อสามารถทำความเข้าใจโลกและสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นได้เพิ่มมากขึ้น
และยังช่วยทำให้เรารู้จักว่าตัวเองนั้น รู้  หรือ ม่รู้  ตามความเป็นจริงได้
ซึ่งการทำความเข้าใจในแบบนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจที่จะทำให้ได้รับแต่ ความจริง อีกด้วย
และการทำความเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านเล่าจื้อสอนให้เราพิจรณามาตั้งแต่ต้นนั่นเอง

    เมื่อท่านเล่าจื้อเอ่ยถึงลักษณะของ เต๋า  ที่ฟังๆไปแล้วก็รู้สึกว่าจะมีลักษณะที่ขัดแย้งกันอยู่
มันทำให้การ นึก  หาอะไรที่เป็นแบบนั้นเป็นเรื่องยาก การคิดแบบสืบสวนและตรวจสอบจึงไปอาจเกิดขึ้น
และอันที่จริงจากการศึกษาเต๋าในบทก่อนหน้านี้ ทำให้เรารู้ว่าอาการไม่นึก นั้นน่าจะถูกแล้ว
ในการค้นหาความจริงแบบนี้
เพราะการนึกอะไรขึ้นมาเทียบเคียงดูนั้นเป็นการสร้างหรือการคาดคิด ไม่ใช่การเห็นความจริง
การนึกเป็นกระบวนการซึ่งชาวพุทธเรียกว่า"มีสัญญา"
มันเป็นการตรวจสอบหาความหมายและความเป็นไปโดยธรรมชาติของสติปัญญา
แตกต่างจากวิธีที่ท่านสอนให้เราใช้ตรวจสอบนั่นคือ ความว่าง ซึ่งคล้ายกับวิธีวิปัสสนาในพุทธศาสนาของเรา
จนทำให้ผมรู้สึกว่าการ นึก นั้นเป็นวิธีพิจรณาหรือใคร่ครวญที่ผิดไปเลยทีเดียว
ทั้งที่ธรรมชาติของคนเราเองก็มีปกติเป็นแบบนั้นเหมือนๆกัน
อย่างไรก็ตาม หากเต๋าสามารถเป็นความรู้ได้ เต๋าก็ต้องมีความจริง ให้ ความรู้  จดจำในความเป็นจริงด้วย
ดังนั้นเต๋าจึงเป็นสิ่งที่สามารถ เข้าใจได้ อย่างหนึ่ง

    การสมมติเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และการนึกและการคิดนี่แหละที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งมัน
และอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนปรุงแต่งเองมีปัญหาด้วย
ท่านเล่าจื้อท่านผูกมัดสติสัมปชัญญะเราไว้ด้วยความเข้าใจว่าจะไม่ยกอะไรขึ้นมาเปรียบเทียบและเทียบเคียง
คือลักษณะเพียงแต่รู้แต่ไม่ให้นึกและไม่ให้คิด
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์คล้ายการวิปัสสนาอยู่เหมือนกัน
และเมื่อหยุดการนึกในขณะเห็น ความคิดหรือการปรุงแต่งก็หยุดลงไปด้วย
อันมีลักษณะคล้ายการยุติสภาพของการสมมติอันเป็นสิ่งที่เราทำกันอยู่ตามปกติไป
หรือว่านี่จะเป็นลักษณะแห่ง เต๋า ลักษณะหนึ่งด้วย
แต่อย่างไรก็ตามผมไม่ควรยกอะไรขึ้นมาเทียบเคียง ซึ่งจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ออกไป
อันมิใช่การค้นหาความเป็นจริงด้วยการเห็น นั่นเอง

    จบลงแล้วนะครับสำหรับการพิจราณาคำภีร์เต๋าเต็กเก็งในบทที่ ๔
และน่าจะเป็นการพิจรณาเป็นบทสุดท้ายแล้วด้วย
หากเนื้อหาในบทความนี้มีความบกพร่องหรือมีความผิดพลาดประการใด
ผมก็ขออภัยไว้ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
และหากเป็นไปได้ก็ขอให้ท่านช่วยชี้แจงหรือให้คำแนะสำหรับข้อผิดพลาดต่างๆ
หรือความเข้าใจผิดต่างๆ ที่ท่านมองเห็น แก่ผมด้วย
เป็นได้ผมก็จะขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ส่วนใครที่มีข้อสงสัยตรงจุดใดก็สามารถซักถามได้เช่นกันครับ


วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่๓

   
 ผมได้พิจรณาเนื้อหาของตำราเต๋าเต็กเก็งของท่านเล่าจื้อมาถึงบทที่๓แล้ว
และในครั้งนี้ผมก็ยังต้องย้ำกับผู้อ่านอยู่ว่าผมได้วิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเล่มนี้ในฐานะนักศึกษามิใช่ผู้รู้
และหากการตีความของผมผิดเพิ้ยนไปจากความจริงหรือทัศนคติของท่าน
ผมก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ
และหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการพิจรณาของผมในครั้งนี้ได้ครับ

เต๋าเต็กเก็ง บทที่๓ การปกครองของปราชญ์

มิได้ยกย่องคนฉลาด ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี
มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก ประชาราษฎรก็จะไม่ลักขโมย
ขจัดตัวตนแห่งความอยาก ดวงใจของประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์
ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดยทำให้ดวงใจของประชาราษฏร์
ว่าง สะอาด บำรุงเลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย
ความคิดและความปราถนาของประชาราษฎร์ก็จะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์
คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญเข้ากระทำการทุจริต
ปราชญ์ย่อมปกครอง โดยการไม่ปกครอง
ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครอง และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ ฯ
..................

"มิได้ยกย่องคนฉลาด ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี"
การให้คุณค่าแก่สิ่งที่พิเศษและสำคัญว่ามีความเป็นเลิศกว่าส่วนอื่นๆ ทั่วไป
เพื่อบ่งชี้ว่่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดาหรือเป็นสิ่งสามัญที่สามารถพบได้ทั่วไป
ข้อนี้แหละที่เป็นลักษณะของการยกย่อง ซึ่งคล้ายลักษณะการเชิดชูไว้เหนือส่วนอื่นๆ
ผมมองว่ามันเป็นปทัสถานทางสังคมอย่างหนึ่งที่ทุกคนสร้างขึ้นและมีความเชื่อร่วมกัน
เราสามารถเปรียบเทียบและระบุว่าสิ่งใหนมีคุณค่ามากกว่าหรือดีกว่าได้โดยปทัสถานนี้
คนดี คนเก่งและคนฉลาด ต่างก็เป็นคำยกย่องที่เกิดขึ้นอยู่จริงในทุกสังคม
ผู้ได้รับการยกย่องย่อมเกิดความภาคภูมิใจในคุณค่าของตัวเองตามวิสัยปกติธรรมดา
แต่ท่านเล่าจื้อกลับมองว่าการยกย่องเหล่านี้ล้วนเป็นค่านิยมโดยสมมติ
และจะทำให้ผู้คนในสังคมเริ่มแก่งแย่งความดีเด่นดังกัน
ก็เพราะทุกๆคนล้วนอยากเป็นผู้มีปัญญาหรืออยากเป็นคนเก่งในสังคมของตน
แล้วต่อจากนั้นพวกเขาก็จะมุ่งสร้างตนและละเลยต่อความเป็นส่วนรวมของสังคมไป
ผมว่าในจุดนี้เราควรพิจรณาให้ละเอียดอย่างสุขุมรอบคอบโดยมองต่อความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อทำความเข้าใจว่าท่านเล่าจื้อพูดได้ถูกต้องหรือไม่และถูกต้องในแง่ใด
และอันที่จริงแล้วผมก็อยากจะอธิบายกับท่านผู้อ่านไปตรงๆว่า
แท้จริงแล้วคำว่า"คนฉลาด" ในบทที่๓นี้นั้นถือเป็นเรื่องทางสังคมโลก
หรือที่เราชาวพุทธเรียกกันว่าโลกธรรมนั่นเอง
ความต้องการของตัวเราเอง ความต้องการของสังคม ก็มักขึ้นอยู่กับทัศนคติโดยรวมของสังคม
คนดี คนเก่ง คนฉลาด หรือคนรวย เองก็เช่นกัน
ทั้งหมดล้วนเกิดจากการเปรียบเทียบระหว่างบุคคลซึ่งเราไม่ควรไปยึดมั่น
ดังที่ท่านฮวงโปเคยกล่าวว่า "แม้มีพระพุทธเจ้าเดินมาในหมู่พวกเราท่านก็มิใช่คนพิเศษ"
ในสายตาของผู้รู้ธรรมย่อมมองเห็นความเป็นธรรมดาสามัญและการสมมติได้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการลบล้างความดีงามที่ท่านมีอยู่แต่อย่างใด
ด้วยทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการกล่อมเกลาทัศนคติและความเชื่อทางสังคมของเรา
และที่มาของปัญหาสังคมอาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีคนอยากเป็นคนพิเศษ


"มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก ประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย"
เพชรหรือไข่มุกต่างก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากทั้งยังมีสีสรรค์สวยงามแปลกตา
เป็นสิ่งที่น้อยคนจะมีไว้ครอบครอง
และถือเป็นสิ่งของที่หายากและคนทั่วๆไปต่างก็ยกย่องว่าเป็นสิ่งพิเศษที่มีค่ามาก
มันสามารถแสดงออกถึงฐานะที่มั่งคั่งร่ำรวยของผู้ที่มีไว้ในครอบครองได้เลยทีเดียว
ของที่หายากและมีค่าจึงไม่ใช่สิ่งธรรมดา สร้างความหรูหราไม่ใช่เรียบง่าย และไม่ใช่ความเป็นสามัญ
มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่เราสามารถจะเห็นได้ในสังคมของเราก็คือ
คนเราต่างต้องการยกฐานะตัวเองให้สูงเด่นและมีสง่าราศรีในวงสังคมเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้
ความทะยานอยากนี้มีอยู่แต่เดิมในใจของทุกผู้คน 
สิ่งใดที่เราคิดว่ามีคุณค่าหรือมีความหมายเราก็จะพยายามหามาครอบครองเป็นของตน
ในทัศนะของผมๆ มองว่าของพิเศษก็เช่นเดียวกันกับคนพิเศษ
ที่ต่างล้วนเป็นการปรุงแต่งสมมติบัญญัติโดยการเปรียบเทียบและเทียบเคียงกัน
กับสิ่งเดียวกันหรือกับสิ่งอื่นๆ
จากนั้นคนเราก็จะสร้างทัศนคติหรือความเชื่อต่อสิ่งนั้นออกมาชุดหนึ่งและยึดถือตามกัน
ในทางตรงกันข้ามหากเรามองของหายากด้วยความว่างในคุณค่าตามค่านิยม
หรือมองโดยเห็นเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาสามัญเช่นเดียวกันกับของอื่นๆ
มันก็จะไม่สามารถล่อตาล่อใจเราได้เลยและเราอาจได้ทำความเข้าใจอีกต่อไปว่า
ที่เรียกว่าไข่มุกหรือเพชรนั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งสมมติอย่างไร
แต่หากใจเราคิดไปว่าสิ่งใหนมีคุณค่าและมีความหมายตามสังคมโลกทั่วๆไปนิยามไว้
มันก็จะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความอยาก แล้วใจก็จะเริ่มคิดหาทางเอามาครอบครอง
หากหามาไม่ได้ด้วยวิธีการซื่อๆ ก็จะใช้วิธีการทุจริตหามา
เพราะมันหมายถึงฐานะความเป็นอยู่ทางสังคมและเป็นสิ่งที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่นด้วย
สิ่งของที่หายากจึงอาจเป็นปัญหาทางสังคมขึ้นมาได้
เพราะสิ่งของหายากมักเป็นทรัพย์สินที่ผู้คนตีราคาเอาไว้สูง
ดังนั้นการเลิกให้คุณค่าแก่สิ่งของหายากมันจึงดูเหมือนการสร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อต่อกัน
ไม่แข่งขันกันร่ำรวยหรือชิงดีชิงเด่นกัน
เพราะเมื่อมีแต่สิ่งธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษและทุกๆอย่างต่างก็เป็นสิ่งสามัญ 
สังคมก็จะดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและเป็นปกติ
เนื่องจากไม่มีอะไรมาล่อตาล่อใจของใครๆได้  การลักขโมยจึงไม่มี

"ขจัดตัวตนแห่งความอยาก ดวงใจของประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์"
ใจคนเราหากไม่ได้ศึกษาตัวมันเอง มันก็จะคอยมองหาแต่สิ่งอื่นภายนอกมาเติมเต็ม
เพื่อหมายความสุขที่มั่นคง
และเมื่อมีความต้องการว่าอย่างไรก็ต้องไปหามาสนองความต้องการนั้น
อันนี้คือลักษณะของความทะยานอยากของคนเรา
คนเราโดยมากมักจะเข้าใจไปว่า"ความมี-ความเป็น" นั้นคือความเพรียบพร้อมของเขา
แต่ผมไม่ได้กำลังบอกว่าการมีและการหาปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ผิด
เพราะผมจะตำหนิก็แต่ผู้ที่หาสิ่งต่างๆมาและเก็บสั่งสมไว้จนเกินความจำเป็นเท่านั้น
โดยเฉพาะการมีไว้เพื่อแสดงฐานะที่มั่นคงของตนต่อสังคมโลก
ความต้องการที่อยากมีทรัพย์และมีหน้ามีตานี้ ถือเป็นสองอย่างที่คนทั่วไปอยากมีกัน
และเมื่อทัศนคติของสังคมโดยรวมเป็นอย่างนั้น ผู้คนในสังคมจึงต้องแสวงหาทรัพย์มาให้มากๆ
และไม่อาจจะล่วงรู้ได้เลยว่ามากเท่าไรพวกเขาจึงจะพอและหยุด
ข้อนี้นี่เองที่ผมเฝ้าคิดมาตลอดหลังจากศึกษาธรรมะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมนี้
เกิดความขาดแคลนและความยากจนขึ้นมา
มีคนมากมายที่ต่างก็มัวเมาในการครอบครองและการเสพกำซาบ
พวกเขากดขี่กัน เอาเปรียบกัน แข่งขันกัน แก่งแย่งกัน ทุจริตต่อกัน และก็ประทุษร้ายต่อกัน
ท่านอ.พุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า"การมีชีวิตที่ถูกต้องก็คือการใช้ชีวิตอย่างสามัญและเรียบง่าย "
ถ้าคนเราสามารถรู้จักชีวิตอย่างนี้เขาย่อมสามารถมองเห็นความอุดมสมบูรณ์ของมนุษยชาติได้
แล้วเขาจะรู้จักการให้ได้โดยธรรมชาติด้วย
ท่านเล่าจื้อหวังจะชำระจิตใจของผู้คนด้วยการให้การศึกษา
เพื่อให้ผู้คนได้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า
ความยินดีในเกียรติยศและทรัพย์สินนั้นนับเป็นความหลงใหลด้วยความมืดบอด
และเป็นความเชื่อที่สังคมสมมติสร้างขึ้นมาอย่างโง่เขลา ไม่ควรวางใจ
มันไม่ควรดึงดูดใจเราให้เห็นคุณค่าต่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกินความจำเป็น
และสิ่งที่มีค่ากว่านั้นก็คือสติปัญญาที่สามารถมองเห็นความว่างเปล่าของค่านิยมนั้นๆได้
หากเราสามารถดับกิเลสตัณหากันได้มากเท่าไรแล้ว
ความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและทางโลกก็จะมีพรั่งพร้อมมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในตอนนี้คนเราไม่ได้คิดอย่างนั้นและไม่ได้เห็นว่าเมื่อหยุดการค้นหา
ความอุดมสมบูรณ์จึงเกิดมีขึ้นมาได้

"ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดยทำให้ดวงใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด 
บำรุงเลี้ยงดูให้อิ่มหนำ ตัดตอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย
ความคิดและความปราถนาของประชาราษฎร์ก็จะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์ "
จากการศึกษาตำราเล่มนี้โดยเริ่มต้นจากบทที่๑และศึกษาเรื่อยมาจนถึงบทที่๓นี้
หากเรารู้จักสังเกตุก็จะพบว่าท่านเล่าจื้อนั้นเป็นผู้ที่เทศนามีเหตุผลและเป็นลำดับ
เหมือนท่านกำลังค่อยๆให้การศึกษาแก่ผู้ที่ศึกษาตำราเล่มนี้อยู่ทีละน้อย
เพราะเนื้อหาสาระตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้นั้นมีใจความที่สนับสนุนกันอยู่
อย่างในบทแรกนั้นมันเปรียบเหมือนเป็นคำนำของตำราเล่มนี้
ซึ่งบอกว่ากำลังจะอธิบายอะไรและมีความสำคัญอย่างไร
และจากนั้นท่านก็เริ่มพาผู้ที่สนใจเดินทางไปเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งนั้นให้มากขึ้นๆ
ดังในบทก่อนหน้านี้ที่ท่านอธิบายว่าสิ่งต่างๆอุบัติขึ้นมาเพราะการเปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบทำให้เกิดขึ้นซึ่งปทัสถานทางสังคมต่อสิ่งต่างๆอย่างสมมติ
ทำให้คนเราเกิดความเห็นต่อสิ่งต่างๆและให้คุณค่าแก่สิ่งต่างๆไม่เท่ากัน
อันเป็นการตัดสินด้วยความสามารถในการรับรู้ของตน
ในบทต่อมาท่านชี้ให้เห็นว่าการไม่ยกย่องคนฉลาดและของหายากนั้นมีประโยชน์อย่างไร
ถึงแม้การสมมติจะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นในทุกวงสังคม
แต่การขาดความตระหนักรู้ต่อการสมมติขึ้นซึ่งรูปธรรมและนามธรรมในตน
นับเป็นกระบวนการทางการเรียนรู้ที่ขาดสติปัญญาประกอบแล้วสุดท้ายเราก็จะหลงทางไป
แต่หากเราสามารถรู้เท่าทันได้ เราก็จะเห็นว่าทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสามัญ
มีความเสมอภาค และเห็นความว่างในสรรพสิ่งได้
การได้รับการศึกษาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการชำระจิตใจให้ผู้นั้นกลับว่างและสอาดขึ้นมาได้
และดังที่กล่าวมาแล้วว่าเมื่อคนเรามองเห็นความเป็นธรรมดาและสามัญในสรรพสิ่ง
เขาก็ย่อมที่จะไม่ยินดียินร้ายร้ายต่อทุกๆอย่างที่เข้ามาล่อตาล่อใจของเขา
ความทะยานอยากของเขาจึงได้ชื่อว่าถูกตัดทอนแล้ว
เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาเช่นนี้
พวกเขาก็จะไม่เฝ้าคิดแต่มุ่งสร้างตัวหรือสร้างฐานะที่มั่นคงเพื่อการมีชีวิตที่ดีของพวกเขา
การดิ้นรนแข่งขันกันก็อาจเเปรเปลี่ยนเป็นการเอื้อเฟื้อต่อกันได้
และยังมีความจริงอยู่ประการหนึ่งก็คือ จิตใจที่ผ่องใสนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เปี่ยมด้วยมิตรไมตรี
จะคิดอ่านประการใดก็จะมีความซื่อตรงไม่ซับซ้อน และจะไม่ทุจริตต่อกัน

"คนฉ้อฉลก็มิบังอาจหาญเข้ากระทำการทุจริต"
ใจความของประโยคนี้ย่อมต้องสอดคล้องกับใจความที่อธิบายมาแล้วของประโยคก่อนหน้านี้
เมื่อพวกเขามีจิตใจที่บรุสุทธิ์ขึ้นความทะยานอยากก็ลดน้อยลง
และความต้องการในการสะสมความมั่งคั่งที่ลดน้อยลงทำให้ความยึดมั่นในตัวตนของตนก็ลดลงตามไป
ความคิดความอ่านในทางทุจริตและประทุษร้ายต่อกันก็ย่อมต้องลดน้อยลงไปด้วย
คำว่า"คนฉ้อฉล " นี้ในบางทีเราก็จำเป็นต้องย้อนมามองดูตัวเองด้วยเหมือนกัน
เพราะความอยากเกิดที่ใจคนฉ้อฉลจึงเกิดขึ้นที่ใจด้วย และย่อมมีได้ในใจของทุกๆคน
แต่เมื่อได้รับการศึกษาและมองโลกด้วยความว่างและเป็นสามัญมากขึ้นแล้ว
คนผู้นั้นย่อมปราถนาชีวิตที่เรียบง่าย
ความคิดคดโกงหรือทุจริตของเขาก็ย่อมถูกชำระล้างออกไป

"ปราชญ์ย่อมปกครองโดยการไม่ปกครอง 
ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครองและดำเนินไปอย่างมีระเบียบ "
การปกครองที่ดีคือการรู้จักปกครองใจของคน
แต่การปกครองเช่นนี้เราไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือใช้วิธีการจัดการใดๆเลย
ที่เราต้องทำคือให้สติปัญญาแก่ผู้คน และให้เขารู้เท่าทันกิเลสตัณหาของตัวเขาเอง
จากนั้นทุกคนก็จะปกครองรักษาใจของตัวเองและทำให้ความชั่วในสังคมไม่มีปรากฏออกมา
สังคมจะไม่สร้างสิ่งชักจูงใจขึ้นมาล่อลวงใครๆ
และจะสร้างแต่ความยินดีในชีวิตที่เรียบง่ายและพอเพียง
ธรรมะที่เผยแพร่สู่สังคมนี้ก็เพื่อขจัดตัวตนอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นและความอยาก
เพื่อช่วยทำให้ใจของประชาราษฎร์สอาด มีอิสระจากการสมมติค่านิยม
ทำให้ไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกันในวงสังคมเพื่อครอบครองทรัพย์หรือมีหน้ามีตาที่สูงกว่าผู้อื่น
เพราะพวกเขาจะไม่เฝ้าปรุงแต่งว่าตัวเองมีอย่างนี้หรือเป็นอย่างนั้น
ตามที่สังคมภายนอกบ่งชี้ว่าเป็นตัวตนของเขา
จิตใจประชารษฎร์ก็สงบปลอดโปล่ง มีดุลยถาพ และมีระเบียบไม่วุ่นวาย
ระเบียบชนิดนี้เราไม่จำเป็นต้องยกร่างขึ้นมาเป็นข้อๆอย่างระเบียบการทั่วไป
แต่มันเกิดขึ้นได้จากการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีความเคารพต่อกัน
หรือมีความรักความผูกพันต่อกันอย่างซื่อตรง ไม่คิดชิงดีชิงเด่นกัน
การปฏิบัติต่อกันอย่างถูกต้องก็มีขึ้นได้เองตามธรรมชาติ
ซึ่งหากเราต้องการที่จะมองเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ นั้น
ผมคิดว่าเราอาจจะต้องจิตนาการถึงวิถีชาวบ้านที่เรียบง่ายแต่มีสติปัญญาไม่ยินดีในโลกธรรม
ตามทัศนะของผมมันคงมีลักษณะเช่นนั้น
สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการศึกษา
ก็คือการทำหน้าที่ของตนโดยสุจริตและมีความรับผิดชอบซึ่งคล้ายการเสียสละและอุทิศตน

..............................ฯ

จบการวิพากษ์ปรัชญาของท่านเล่าจื้อในบทที่๓แล้วนะครับ
หากมีข้อตำหนิหรือข้อผิดพลาดประการใดผมก็ขออภัยจากท่านผู้อ่านด้วยนะครับ
และเนื่องจากความรู้ของผมยังน้อยดังนั้นหากท่านสามารถแนะนำอะไรเพิ่มเติม
ก็เขียนคอมเม้นต์ไว้ด่านล่างได้เลย ผมยินดีรับฟังครับ
หรือหากมีใครอยากสอบถามอะไรก็เขียนเอาไว้ด่านล่างได้เช่นเดียวกัน

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่๒

     ก่อนอื่นต้องขอเกรินนำกับผู้อ่านก่อนนะครับว่า 
ผมเป็นเพียงนักศึกษาด้านปรัชญาคนหนึ่งที่มีความสนใจใคร่รู้ในปรัชญาของเต๋า
ไม่ได้เป็นผู้รู้ที่เข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้งอะไรหรอกครับ
ที่เขียนบทความนี้ก็เพื่ออยากเล่าประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับการพิจรณาเนื้อความของปรัชญาเล่มนี้เพียงเท่านั้น
และหวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่กำลังสนใจและเริ่มต้นศึกษาปรัชญาเล่มนี้อยู่เหมือนกัน
ซึ่งหากมีการพิจรณาจุดใหนไม่ตรงกันก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ



          เต๋าเต็กเก็ง บทที่๒ สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ

เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยาวกับสั้น เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงกับต่ำ เกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญ เกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
ดังนั้นปราชญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ  เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง
ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
เหตุที่ท่านไม่ปราถนาเกียรติคุณ เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่เสื่อมสูญ ฯ


"เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น"
ตามชื่อของเต๋าบทนี้ที่นิยามว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเพราะการเปรียบเทียบ
ดังนั้นแล้วความสวยและความน่าเกียดก็เกิดมาจากการเปรียบเทียบด้วยเช่นเดียวกัน
มันทำให้เราเกิดมโนคติต่อสิงต่างๆ ตามมา
ถัดจากนั้นเราก็จะใส่ค่านิยมและความต้องการลงไปว่าสิ่งนั้นควรเป็นอย่างไร
เหมือนกันกับความยินดีในรูปทรงและสีสรรค์ที่เรามีในสิ่งต่างๆ
"เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น"
อนึ่งท่านเล่าจื้อใช้คำว่า"คนในโลก" ก็เพื่อสื่อความหมายว่ากำลังพูดถึงปกติของปุถุชนอยู่
คนที่ยังเป็นปุถุชนย่อมมองไม่เห็นลักษณะของสมมติบัญญัติของรูปธรรมนามธรรม
กล่าวคือเมื่อรูปธรรมคือวัตถุมีการนิยามว่าสวยซึ่งเป็นนามธรรม การสมมติบัญญัติก็เกิดขึ้น
คือการเกิดขึ้นของรูปธรรมนามธรรมนั่นเอง
ซึ่งเป็นลักษณะของการรับรู้รับทราบตามสมมติของคนเรา
ในความเป็นจริงแล้วลักษณะที่เรียกว่าดีและเลวนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องพฤติกรรมของคนเรา
แต่สิ่งต่างๆในโลกนี้ย่อมมีลักษณะดีหรือเลวตามการบัญญัติเปรียบเทียบและการสร้างความเชื่อหรือค่านิยม
ลักษณะดีหรือชั่วนี้ จึงคล้ายว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมตามธรรมชาติ
แต่กลับเป็นผลจากกระบวนการที่เราเรียกว่าความคิดปรุงแต่งได้สร้างสรรค์ขึ้นมา
ทั้งนี้ในการเปรียบเทียบนั้นเราสามารถเปรียบเที่ยบกับสิ่งเดียวกัน
กับสิ่งอื่นๆ หรือนำมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่เราตั้งเอาไว้ก็ได้
ข้อนี้แหละที่อาจอธิบายให้เราเข้าใจในเบื้องต้นว่าสิ่งต่างๆที่เราเห็นอยู่นั้น
แท้จริงเป็นของปรุ่งแต่งอย่างไร
"มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้   ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยการรับรู้ "
"มีหรือไม่มี"นี้ก็เช่นเดียวกันกับความสวยและความน่าเกลียด
ตรงที่คนเราต้องใช้อายตนะทั้งหกวิถีเพื่อจำแนกสิ่งต่างๆ เหล่านี้
การแยกแยะสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมว่าปรากฏอยู่หรือไม่
ก็ย่อมต้องพินิจผ่านทางอายตนะเหล่านั้น
และมีหรือไม่มีนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับการบัญญัติซึ่งลักษณะของสิ่งต่างๆด้วย
ซึ่งทำให้เราสามารถแบ่งแยกตัวตนของสิ่งต่างๆให้ละเอียดมากขึ้นไปอีกได้
"ยากกับง่าย"อาจทำให้เราเห็นตัวอย่างของการปรุงแต่งที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นนี้ได้
คนเราเมื่อกระทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอยู่ก็อาจนำกิจกรรมนั้นไปเปรียบเทียบกับกำลังของตนหรือการงานอย่างอื่นก็ได้
จนทำให้รู้สึกและสามารถบอกออกมาได้ว่ากิจกรรมที่ตนกำลังอยู่หรือทำเสร็จแล้วนั้นว่ายากหรือง่าย
ซึ่งยากกับง่ายนี้ในกิจกรรมเดียวกันแต่ละคนอาจตอบออกมาไม่เหมือนกันก็ได้
มันจึงดูราวกับว่าเป็นเรื่องจำเพาะตัวของแต่ละคนๆไป
ทำให้เรารู้ว่าการรับรู้และความเข้าใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ของรูปธรรมนามธรรมของคนเรานั้นอาจมีความแตกต่างกันก็ได้
เช่นนั้นแล้วมันอาจแปลได้ว่าการเห็นสิ่งต่างๆตามที่'เป็น' อาจมีได้แตกต่างกันไป
ข้อนี้ทำให้เรารู้ได้ว่าการปรุงแต่งที่แตกต่างกันไปอาจเป็นไปตามความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน
ทำให้คนเรามองเห็นในสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป
การพิจรณาอย่างนี้อาจช่วยทำให้เรามองเห็นความเป็นสมมติบัญญัติ
และความไม่แน่นอนของรูปธรรมนามธรรมได้ชัดเจนขึ้น
"ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง"
ความจริงแล้วการเปรียบเทียบขนาดและปริมาณต่างก็เป็นความสามารถหนึ่งของสมองมนุษย์
เพราะมันช่วยให้มนุษย์ใช้ตรรกะที่มีอยู่ประเมินสิ่งต่างๆได้
และในบางครั้งเราก็ใช้การเปรียบเทียบเพื่อประเมินว่าสิ่งใหนมีค่ามากกว่าและสิ่งใหนด้อยกว่า
เพราะสิ่งต่างๆ ตั้งอยู่เดิม แต่เมื่อมีการเปรียบเทียบจึงมียาวมีสั้น
และเมื่อมีการเทียบเคียงจึงมีสูงมีต่ำ
การเปรียบเทียบจึงเป็นการปรุงแต่งความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมลงไป
ผมว่าในบางครั้งคำว่าดีกว่า เลิศกว่า ก็มีความหมายในเชิงการสร้างปัญหานะ
ก็เพราะคนเรามักต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเองอยู่เสมอ
และการเปรียบเทียบที่สร้างปัญหาที่สุดก็คือการนำตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนั่นแหละ
"เสียงดนตรีและเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด"
เช่นเดียวกันกับการเปรียบเทียบ การรู้จักแยกแยะในความแตกต่างได้นั้นคือธรรมชาติในการรับรู้ที่พิเศษ
คนเรามีความสามารถโดยธรรมชาติในการวิเคราะห์น้ำเสียงต่างๆได้
หากมีการกำหนดว่านี่คือเสียงดนตรีใยที่เราจะไม่รู้จักมันเล่า
แต่เสียงดนตรีสามารถทำให้สมองของเราตอบสนองต่อมันโดยไม่ต้องมีสัญญาก็ได้
ทั้งเสียงที่ทำให้เราเคลิบเคลิ้มฟังและเสียงที่ทำให้เราคะนองใจฟัง
แต่หากมีเสียงหนึ่งที่เราชอบและเสียงหนึ่งที่เราไม่ชอบแล้วล่ะก็
เสียงก็นับว่าเป็นสิ่งปรุงแต่งความเข้าใจและความรู้สึกด้วย
"หน้ากับหลังเกิดข้นด้วยการนึกคิด"ข้อนี้ช่วยแสดงการทำงานของสมองที่ซับซ้อนขึ้น
กล่าวคือความสามารถในการคิดวิเคราะห์นั่นเอง
ซึ่งท่านเล่าจื้อคงต้องการยกมาให้เราพิจรณามันในแง่ของความ"มี"ความ"เป็น"อันเกิดจากการเปรียบเทียบมากกว่า
"ดังนั้นปราขญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง"
ดังที่พิจรณามาก่อนหน้านี้เราอาจเกิดความรู้ใหม่ว่า
โดยเนื้อแท้แล้ว การรับรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่แน่นอนเสมอไป
ก็เพราะสมมติบัญญัติและค่านิยมอันเกิดจากการเปรียบเทียบเป็นการปรุงแต่งต่อลักษณะของสรรพสิ่ง
ตามความสามารถในการรับรู้ที่มีอยู่นั้น
ทำให้เกิดการบัญญัติของรูปธรรมนามธรรมขึ้น
ซึ่งบ่งชี้ว่าคนเราอาจมีการรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไปก็ได้
เพราะมันขึ้นอยู่กับความหมายรู้ความเข้าใจตามที่ตนเองสมมติบัญญัติหรือปรุงแต่งเอาไว้นั่นแหละ
ดังนั้น"การกระทำโดยไม่กระทำ"จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของตน
การวางเฉยในท่าทีนี้เป็นการดับปัญหาที่ต้นเหตุก็คือจิตใจตน
ด้วยการเห็นโลกตามความเป็นจริงว่ารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย
แท้จริงแล้วเกิดที่จิตใจหรือก็คือกระบวนการในการ"รู้ "ทางสมองของคนเราเอง
การ"ไม่กระทำ"จึงช่วยดับความทุกข์จากกิเลสและความร้อนรนของตัณหาได้
"เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา"ก็เช่นเดียวกัน
เพราะการจำแนกแจกแจงที่มากอย่าง ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจที่มากอย่างขึ้นอีก
ฉนั้น จะทำอย่างไรให้เขารู้และเข้าใจการปรุงแต่งของสมมติบัญญัติ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจาจึงถูกนำมาใช้ เพื่อให้เขาสามารถมองเห็นจิตใจตัวเองได้
เขาจะมองโลกโดยความไม่ยึดถือ มองเห็นความว่างในสรรพสิ่งได้
ไร้นามไร้สภาวะอันเป็นหนทางแห่งเต๋าจึงสำเร็จลุล่วงแก่เขาด้วยเหตุนี้
"ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้"
การรับรู้ได้ถึงการมีหรือไม่มี  การบัญญัติซึ่งลักษณะดีและเลว
การสมมติขึ้นมาซึ่งรูปธรรมนามธรรม
มันทำให้เราเขาใจว่าสิ่งต่างๆ มีตัวตนอย่างนั้น
และถ้าหากใจยึดถือแล้วแล้วล่ะก็มีหรือไม่มีนี้ก็อาจก่อปัญหาด้วยความปราถนาในการเติมเต็มสิ่งนั้นๆด้วย
เพราะคนเราล้วนต้องการสิ่งที่ดีกว่าเมื่อเกิดการเปรียบเทียบเสมอ
เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นก็อาจเกิดการเเก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันก็ได้(ทั้งตนและคนอื่นก็เป็นสมมติ)
นี่ใยจักไม่ใช่ปัญหาอันเกิดจากการปรุงแต่งในสรรพสิ่ง
ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ถือตัวเป็นเจ้าของแม้จะเป็นของที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ก็ตาม
การไม่ยืดถือเป็นการรู้จักปกครองตนให้ได้รับความสงบสุขโดยแท้
นี่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการกระทำกิจอันยิ่งใหญ่แห่งตนให้ลุล่วงหรอกหรือ
แต่หากท่านสำคัญว่าตัวเองดีเด่นความต่ำทรามก็จะมีตามมา
ด้วยน้ำใจของท่าน
ท่านจึงไม่ได้"ประกาศให้โลกรู้ " เพื่อหวังยกย่องความดีของตนเองและการเคารพจากใครๆ เลย
"เหตุที่ท่านไม่ปราถนาเกียรติคุณ เกียรติคุรของท่านจึงดำรงอยู่ไม่เสื่อมสูญ"
ธรรมดาของผู้มีธรรมะ ย่อมเป็นผู้ให้แก่คนทั่วไป
แต่ท่านเหล่านั้นย่อมให้โดยปราศจากการมุ่งหวังในผลตอบแทน
ยกตัวอย่างเช่นท่านเล่าจื้อที่เป็นผู้ให้ความรู้แก่คนทั่วไป
แต่ท่านก็ไม่ได้หวังคำยกย่องสรรเสริญและลาภสักการะแต่ประการใด
และตัวท่านยังเป็นที่ยกย่องของคนกลุ่มหนึ่งจวบจนทุกวันนี้
อนึ่งผมได้ตั้งข้อสังเกตุว่าการให้บางอย่างก็ไม่ได้ส่งผลให้ผู้คนระลึกถึงอยู่เสมอไป
แต่การให้ที่ส่งผลตอสังคมยาวนานนั้นมักจะเป็นการให้วิชาความรู้ที่ถูกต้องและมีคุณค่าต่อสังคมมนุษย์
เช่นนั้นแหละความรู้และผู้ถ่ายทอดมันจึงได้รับการยกย่องไปอีกนาน

จบการวิพากษ์ปรัชญาของท่านเล่าจื้อในบทที่๒แล้วนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย
และหากมีข้อตำหนิหรือข้อผิดพลาดประการใดผมก็ขออภัยจากท่านผู้อ่านด้วยนะครับ
และเนื่องจากความรู้ของผมยังน้อยดังนั้นหากท่านสามารถแนะนำอะไรเพิ่มเติม
ก็เขียนคอมเม้นต์ไว้ด่านล่างได้เลย ผมยินดีรับฟังครับ
หรือหากมีใครอยากถามอะไรก็เขียนเอาไว้ด่านล่างได้เช่นเดียวกัน


วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็ง บทที่๑

     ก่อนอื่นขอเล่าประวัติท่านเล่าจื้อ ผู้เป็นปรมาจารญ์แห่งลัทธิเต๋าเสียก่อนสักหน่อย
ผู้นับถือลัทธินี้ได้ยกย่องท่านเล่าจื้อว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุดหนึ่งในสามองค์นามว่าไท่ซ่างเล่าจวิน
คาดกันว่าเล่าจื้อน่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วง30ปีก่อนพุทธศักราช
ตามพงศาวดารระบุว่าท่านเล่าจื้อเกิดในแคว้นขู่ซึ่งในปัจจุบันคืออำเภอขู่เสียนในมลฑลเหอหนานของจีน
ท่านยังเคยเข้ารับราชการเป็นคนจดบันทึกและรักษาแผ่นไม้ไผ่ที่บันทึกอักษรจีนในราชสำนักด้วย
ว่ากันว่าท่านเล่าจื้อมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับท่านขงจื้อและทั้งสองยังเคยร่วมเสวนาธรรมด้วยกันอีกด้วย
ท่านขงจื้อได้กล่าวสรรเสิญท่านเล่าจื้อหลังจากที่มีโอกาสได้เสวนากันว่า
ท่านเล่าจื้อเป็นจอมปราชญ์ที่มีสติปัญญาล้ำลึกจนยากหยั่งถึง
การได้เสวนากับท่านเล่าจื้อนั้นเลิศกว่าการได้อ่านตำรานับแสนเล่มเสียอีก
ผลงานที่สำคัญของท่านเล่าจื้อนั้นก็คือตำราเต๋าเต็กเก็งหรือเต๋าเจ๋อจิงนั่นเอง
ซึ่งคำสอนของท่านมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของชาวจีนในสมัยต่อมาอย่างมาก
โดยเนื้อหาของคำภีร์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาของมนุษย์ ความกลมกลืนต่อการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ
จนไปถึงปรัชญาด้านการเมือง
และจากการตีความคำว่า"เต๋า"ในคัมภีร์คนส่วนใหญ่บอกว่ามันแปลว่า"มรรค"หรือ"หนทาง"
ส่วนคำว่า"เต๋อ"หรือ"เต็ก"นั้นหมายถึง"คุณธรรม"
และคำว่า"จิง"นั้นหมายถึงคำภีร์หรือตำรา
ถึงแม้ว่าคำสอนของท่านเล่าจื้อจะไม่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีนมากมายเท่าคำสอนของท่านขงจื้อ
แต่ท่านเล่าจื้อก็ยังเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไป
ทั้งแนวความคิดและการปฏิบัติตามหนทางแห่งเต๋า
คำภีร์เต๋าเต็กเก็งนั้นเขียนด้วยตัวอักษรจีนประมาณ5000ตัว มีทั้งหมด81บท
ซึ่งผมจะยกขึ้นมาพิจรณาและวิจารณ์ในบล็อกทีละหนึ่งบท
และหวังว่าจะมีคนที่มีความสนใจในปรัชญาของท่านเล่าจื้อจะเข้ามาอ่าน
และร่วมพิจรณาไปพร้อมกับผม
และถ้าหากมีคำพูดใดหรือประโยคใดที่ผมกล่าวผิดไป
ก็ขอให้ท่านอภัยและช่วยชี้แจงให้ผมเข้าใจถูกต้องด้วยนะครับ
 
      เต๋าเต็กเก็ง บทที่๑ เต๋าอันสูงสุด

เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบายและมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อจักทำฉันใดให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าจึงขอเรียกสิ่งนั้นว่า"เต๋า"ไปพลางๆก่อน

เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน
เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ จึงทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล
ดำรงตนอยู่ในสภาวะ ย่อมแลเห็นปรากฎการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์

ทั้งความมีและความไร้ ต่างมีบ่อเกิดเดียวกัน
แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฎออก
บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก
ความลึกล้้ำสุดแสนนั้น คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต

    ในวรรคแรกนั้นตามทัศนะของผมมองว่าท่านคงอยากบอกกับเราว่าเต๋านั้น
เป็นสิ่งที่ผู้คนจะต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง
เนื่องเพราะเต๋าอันเป็นอมตะนั้นไม่อาจอธิบายและตั้งชื่อ
แต่หากอยากแนะนำแก่ผู้อื่นแล้วก็จำเป็นต้องสมมติชื่อขึ้นเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ
   " เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน"
การมองหา"ไร้นามไร้สภาวะ"ควรต้องมองหาจากจิตใจเป็นลำดับแรก
นั่นเพราะไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่คนเราจะเข้าถึง"ไร้นามไร้สภาวะ"นอกไปจากจิตใจของตน
เพราะความรู้สึกนึกคิดต่างๆก็คือการปรุงแต่งนามและสภาวะนั่นเอง
เช่นนั้นจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติเดิมแท้ได้(ด้วยตนเอง)
   "เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง"
ในความสอดคล้องกันกับไร้นามไร้สภาวะ มีนามมีสภาวะจึงหมายถึง
ความรู้สึกนึกคิดตามธรรมดานั้นย่อมเป็นการปรุงแต่ง และย่อมเป็นการสมมติสิ่งต่างๆ
   "ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ จึงทราบบ่อเกิดของจักรวาล"
ในทัศนะของข้าพเจ้า นี่ืเป็นการชี้ทางแห่งปัญญาแก่คนเรา
และย่อมเป็นทางให้เกิดความเข้าใจกรรมวิธีของจิตใจ กล่าวคือการเข้าใจตน
และเข้าใจธรรมชาติแห่งตนอย่างถึงที่สุด บ่อเกิดแห่งจักรวาลก็รู้ได้ที่ตน
"ทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล"คำนี้ฟังดูลึกลับซับซ้อนละเอียดอ่อนและน่าค้นหา
มันย่อมหมายถึงการเข้าใจความเป็นไปในสังสารวัฏอันยาวนานได้
เราย่อมเห็นถึงความจริงของสรรพชีวิตได้
   "ดำรงตนอยู่ในสภาวะ ย่อมแลเห็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์"
จากข้อความในข้างต้นนี้ ใยจะไม่หมายถึงปุถุชนผู้มีผ้าทึบพันห่อดวงตาไว้
พวกเขาเหล่านั้นย่อมถูกปรุงแต่งด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นกิเลสของตนเป็นแน่
เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นความจริงที่เหนือกว่าไปอีกได้
ดังนั้นปุถุชนจึงเป็นผู้ดำเนินชีวิตไปตามความอยากและหวังการได้ความสุขต่างๆ
ข้อนี้แหละที่ปุถุชนแตกต่างจากนักปราชญ์ผู้มีปัญญา
    "ทั้งความมีและความไร้ ต่างมีบ่อเกิดเดียวกัน"
สำหรับคำว่า"บ่อเกิด"ความเข้าใจต่อคำนี้ของข้าพเจ้ามีอยู่อย่างนี้ว่า
การรับรู้อันผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นช่องทางรับรู้แห่ง
สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนา และรูป อันช่วยกันทำหน้าที่ประสาทการทุกอย่าง
ทั้งหมดนี้แลที่เป็นลักษณะของบ่อเกิด
ทั้งของความมีและความไร้ หรือความเป็นและไม่เป็นของสรรพสิ่ง
ดังนั้นในทัศนะของข้าพเจ้า"ความมีและความไร้"จึงหมายถึง
การสมมติและปราศจากการสมมตินั่นเอง
   "แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฏออกมา"
โสกราตีสเคยกล่าวว่าการไม่มีสมมติคือการเห็นและการเข้าใจโดยความเป็นรูปแบบ
เช่นนั้นแล้วข้อนี้ท่านเล่าจื้อไม่ได้กำลังกล่าวถึงการมีสติปัญญาอยู่หรอกหรือ
เพราะความแตกต่างเมื่อปรากฏออกมาหมายถึงบ่อเกิดที่ได้รับการศึกษาและเป็นวิชชา
ย่อมต่างจากความเขลาของอวิชาที่เฝ้าแต่ปรุงแต่งสรรพสิ่งแล้วหลงใหล
   "บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก"
ถึงแม้ผมจะศึกษาธรรมะมาเพียงไม่กี่ปีแต่ก็อยากจะลองหยั่งให้ผู้อื่นเข้าใจในความลึกล้ำนั้น
การหยังในข้อนี้นั้น ย่อมไม่ใช่การใช้กำลังของปัญญาหรือตรรกะของตนเองมาเพื่อใช้ทำความเข้าใจ
แต่ต้องอาศัยความตื่นรู้และดำดิ่งเพื่อดูความเป็นไปอย่างสงบงัน
จึงอาจสามารถเห็นและเข้าใจบ่อเกิดที่ล้ำลึกด้วยตนเองได้
ซึ่งก็คือการเข้าใจในธรรมชาติแห่งตนและปรัชญาอันเป็นปัญญานั่นเอง
   "ความล้ำลึกสุดแสนนั้น คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต"
ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิตนี้ย่อมเป็นความเข้าใจที่ต้องเข้าใจด้วยตนเองเป็นแน่
คือการรู้แจ้งด้วยตน คลายความสงสัยด้วยตน ต่อความจริงแห่งตนและสรรพชีวิต
และสิ่งนี้แหละคือสติปัญญาที่ท่านเล่าจื้อแนะนำให้พวกเรากระทำให้แจ้งชัด

    การพิจรณาคำภีร์เต่าเต็กเก็งบทแรกของผมก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้
หากท่านผู้อ่านมีความสงสัยตรงจุดไหน
อยากตำหนิหรือแนะนำในความผิดพลาดของผมว่าอย่างไร
ก็สามารถโพสข้อความไว้ด่านล่างได้นะครับ ผมจะน้อมรับทุกคำถามแน่นอน