วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่ ๗

       เรื่องของความดีงามจะว่าไปแล้วก็เป็นเหมือนสิ่งสมมติทางสังคมที่เป็นค่านิยมเรื่องความถูกต้อง
แต่ความดีงามนี้อาจกระทำอย่างหลอกลวงกันก็ได้เพื่อหวังการยอมรับและคำยกย่องจากผู้อื่น
ส่วนความดีงามที่กระทำโดยสุจริตนั้นมาจากจิตสำนึกที่เร้าคุณธรรมหรือมีคุณธรรม
ความดีงามนั้นมักจะเป็นค่านิยมตามความเชื่ออย่างเช่น เชื่อว่าจะได้รับผลดีตอบแทนหรือได้ขึ้นสวรรค์ เป็นต้น
ท่านเล่าจื้อเองก็สอนให้ผู้คนประพฤติในสิ่งที่ดีงามเช่นกัน แต่ท่านไม่ได้สอนแบบนั้น
ท่านไม่เคยอาศัยหลักความเชื่อหรืออาศัยความศรัทธาใดๆ ความดีงามของท่านล้วนเกิดมาจากความรู้ความเข้าใจ
หากเราสามารถเข้าใจในถ้อยคำของท่านเราก็จะพบว่าท่านเพียงอธิบายธรรมชาติตามที่เป็นจริง
เราจึงไม่ปฏิเสธและปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านโดยซื่อตรงด้วยปัญญา
โดยปกติแล้วคนเราจะทำสิ่งใดย่อมหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่าอยู่เสมอ
แต๋เต๋านั้นเป็นการเข้าใจในธรรมชาติซึ่งไม่มีผลให้คาดหวัง แต่ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่ชีวิตย่อมมีอยู่
เพราะเต๋าคือความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตที่แท้จริง มีความสมบูรณ์จนไม่อาจก่อตัณหาเพิ่มเติมได้อีก
เต๋าได้ชื่อว่าทาง เป็นทางที่ก่อให้เกิดความดีงาม
ผู้ที่จิตใจยังปกคลุมด้วยราคะพยาบาทย่อมจะเดินไปในทางอื่นและมีชีวิตในแบบอื่น(การใช้ชีวิต)
บทความที่ผมกำลังจะกล่าวอรรถาธิบายต่อไปนี้เป็นบทที่เจ็ดจากตำราเต๋าเจ๋อจิงของท่านเล่าจื้อ
ซื่งแฝงด้วยนัยะของการลดละความเห็นแก่ตัว
ผู้มีปัญญาดีเมื่อได้รับฟังแล้วก็อาจเบิกบานด้วยใจยินดีตามคำท่านได้
อนึ่งผมพิรณาเต๋าในฐานะของนักศึกษาที่เพิ่งจะเริ่มต้นและยังมิใช่ผู้รู้จึงอาจมีความเข้าใจที่ผิดพลาดอยู่
ผมจึงหวังได้รับการให้อภัยในข้อที่ผิดพลาดนั้น
และหวังให้ท่านช่วยชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่างในข้อผิดพลาดนั้นด้วย
หากเป็นได้ก็จะขอขอบคุณล่วงหน้าครับ



      เต๋าเต๋อจิง บทที่๗ มิได้อยู่เพื่อตนเอง

   " ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตัวเอง จึงสามารถอยู่ได้คงทน
ดั้งนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนไว้รั้งท้าย แล้วก็กลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเองกลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองมิใช่หรือ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ "
         ...........................................


   คนเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต่างคนก็ต่างขวนขวายหาใส่ปากใส่ท้องของตน
หลายคนใส่ใจแต่เฉพาะตัวเองจนลืมใส่ใจบุคคลอื่น
การดิ้นรนทำให้เกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างกัน
สะสมเพิ่มพูนจนต่างคนต่างก็มีความรู้สึกเห็นแก่ตัว
แต่สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยน้ำใจ ดังนั้นนักปราชญ์จึงจำเป็นต้องอบรมปลูกฝังธรรมะลงในหัวใจของผู้คน
เพื่อมุ่งหวังให้คุณธรรมศีลธรรมช่วยค้ำจุนสังคมเอาไว้ไม่ให้เกิดความวุ่นวายแตกแยกขึ้น
   " ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตัวเอง จึงสามารถอยู่ได้คงทน "
    ฟ้าและดินเป็นธรรมชาติที่สอดคล้องแหมาะสมจึงทำให้ชีวิตสามารถเจริญเติบโตได้
ฟ้าและดินต่างก็ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตโดยไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนผู้คนจึงไม่อาจชิงชัง
การทำหน้าที่ของฟ้าและดินเป็นตัวอย่างของการทำหน้าที่โดยไม่ได้แสดงตัวตนให้ปรากฏ
ข้อนี้ผมหมายความว่า  ฟ้าดินไม่ได้มุ่งหวังผลใดๆ  เพื่อตนเอง
เพราะการกระทำของฟ้าดินเปรียบเหมือนไร้ตัวตน จึงไม่ได้สนใจต่อคำสรรเสิญและนินทาใดๆ
ข้อนี้จึงอาจเป็นการแสดงออกแทนความคงทนตั้งมั่นของฟ้าและดินได้
การทำความเข้าใจในธรรมชาติเพื่อรู้จักซึ่งความถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติตน
ก็เพื่อการปกปักรักษาคุณค่าของสิ่งๆ นั้นให้ยั่งยืน
การอยู่ร่วมในสังคมก็เช่นเดียวกัน หากผู้คนทั้งในระดับบุคคลไปถึงระดับสังคมใหญ่
ต่างก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันหรือมุ่งหมายความเป็นใหญ่กันแล้วล่ะก็
สังคมนั้นย่อมเกิดความวุ่นวายและความแตกสามัคคีกัน
การทุจริตคดโกงต่อกันและการสร้างความแตกแยกในสังคมใยจะไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัว
เพราะเมื่อเห็นแก่ตัวแล้วเลห์เพทุบายต่างๆ ก็มีตามมา
เพื่อทำให้ตัวเองได้อยู่หน้าคนอื่นหรืออยู่สูงกว่าคนอื่นในด้านต่างๆ นั้น
   "ดังนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย แล้วก็กลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเองกลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองมิใช่หรือ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ "
    ปราชญ์ไม่ได้ศึกษาธรรมะเพียงเพื่อทำความเข้าใจเท่านั้นแต่ท่านยังมีความเคารพในธรรมนั้นด้วย
นี่หมายความว่าการใช้ชีวิตของท่านถึงแม้จะมีอิสรภาพแต่ก็ยังเดินไปตามทางที่เห็นว่าถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ
สังคมมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและร่มเย็นก็เพราะผู้คนเปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีไม่เห็นแก่ตัว
นักปราชญ์เมื่ออยู่ในสังคมท่านจึงมิได้เห็นแก่ตัว นี่ก็ถือว่าเป็นการเคารพต่อธรรมอย่างหนึ่ง
การทำงานของท่านจึงเปรียบเหมือนการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็พากันตักตวงสั่งสมใส่ตนเองท่าเดียว
นี่จึงอาจถือได้ว่าท่านเป็นแบบอย่างของโลกได้ด้วย
"ละเลยต่อตนเอง" คำนี้เป็นคำพูดธรรมดาแต่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
คำว่าละเลยต่อตัวเองนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เอาใจใส่ตัวเองหรือห้ามให้ความสนใจต่อตัวเองแต่อย่างใด
เพราะทั้งหมดนี้ที่แนะนำมาไม่ได้เป็นความเชื่อหรือเป็นอุดมการณ์
แต่กลับเป็นการช่วยเหลือตนเองของผู้ปฏิบัติในการกำจัดอวิชชาเพื่อการมีชีวิตที่สุจริตขึ้น
อันเป็นวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง
ซึ่งอาจจำเป็นต้องย้อนไปดูคำพูดของท่านเล่าจื้อในบทก่อนหน้านี้เพื่อทำความเข้าใจต่อคำพูดดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้นว่า
  "เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น" (จากบทที่สอง)
   นี่คือลักษณะของตัวตนและการตกอยู่ในสภาวะ โดยการมีอุปปาทาน
คำว่าตัวตนในเต๋านั้นไม่ได้หมายความว่าตัวเอง แต่กลับหมายถึงรูปธรรมนามธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นในตน
หรือก็คือกระบวนการของความคิดปรุงแต่งที่เป็นที่มาของตัวเองและสิ่งอื่นๆ
หากเราคิดว่าตัวเองขี้เหร่เราก็อยากดูดีขึ้นมา และหากเราเห็นว่าตัวเองเป็นคนชั่วเราก็อยากเป็นคนดีขึ้นมา
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่มักเป็นไปตามค่านิยมที่สังคมกำหนดไว้
เมื่อมีตัวตนและสนใจต่อตัวเองขึ้นมาคนเราก็จะทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อสนองกิเลสตัณหา
มากกว่าคิดทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อส่วนรวม
การละเลยต่อตนเองจึงมีความหมายในทำนองนี้ ละเลยแล้วกลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดีนี่หมายความว่า
เราไม่ได้แบกรับการคาดหวังใดๆ อยู่ ทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นและมีความยินดีในการทำหน้าที่
การไร้แรงกดดันทั้งต่อภายนอกและภายในกลับทำให้คนเราทำหน้าที่ต่างๆ โดยสุจริตขึ้นได้
ละเลยต่อตนเองจึงเปรียบเหมือนการละทิ้งโลกธรรม อันเป็นความสนใจในสิ่งที่เป็นเปลือก
ถ้าไม่ทำแบบนี้เราก็จะใช้ชีวิตไปตามกิเลสตัณหานะ ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตอย่างบัญฑิตหรืออริยะได้เลย
แต่คนที่เติมเต็มตนเองด้วยความดีงามและสติปัญญากลับมีความสมบูรณ์ในตนเองได้
นี่เป็นเพราะท่านรู้จักละทิ้งตัวตนที่เป็นเพียงสภาวะสมมติ
ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า"เพราะปราชญ์ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองมิใช่หรือ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ "
ว่าโดยย่อก็คือลักษณะของ ความไม่เห็นแก่ตัว นั่นเองที่ทำให้เกิดความรู้สึกพอใจต่อชีวิตของตน
และมีชีวิตที่บริสุทธิ์ดีงามมากขึ้น
เมื่อตัดทอนความทะยานอยากได้ จิตใจก็จะ สงบ
               ..................................................................

     ผมขอจบการอธิบายปรัชญาจากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่๗ ลงแต่เพียงเท่านี้นะครับ
และหวังว่าจะได้รับความอนุเคราห์จากท่านผู้อ่านทุกท่าน
ในการแก้ไขเพิ่มเติมตรงจุดที่ผมยังเข้าใจไม่ถูกต้องตามที่ท่านเล็งเห็นอยู่
ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเสียสละเวลามานั่งอ่านบทความของผมด้วยครับ
"หากฟ้าดินต่างก็พากันเห็นแก่ตัว สังคมเราจะอยู่ร่มเย็นได้หรือ"(อันนี้ความเห็นผมเองครับ)





วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิพากษ์ปรัชญาท่านเล่าจื้อ จากหนังสือเต๋าเต็กเก็งบทที่ ๖

    ท่านเล่าจื้อเคยกล่าวถึงผู้ที่เคยได้รับฟังเต๋าว่าอาจจำแนกได้เป็น3 ประเภท คือ
พวกแรกเหมือนคนที่มองไปบนท้องฟ้าในยามค่ำที่ฟ้ากระจ่างไร้เมฆบัง
เขาย่อมสามารถมองเห็นดวงดาวและกลุ่มดาวต่างๆ ได้กระจ่างชัด
พวกต่อมาคือผู้ที่มองไปบนท้องฟ้ายามค่ำขณะมีเมฆปกคลุมอยู่บางส่วน
เขาย่อมไม่อาจมองเห็นดวงดาวและกลุ่มดาวได้กระจ่างชัดและต้องใช้จินตานาการถึงส่วนที่เหลือนั้น
พวกสุดท้ายคือพวกมองฟ้าที่กำลังปกคลุมไปด้วยเมฆฝนเขาย่อมไม่สามารถมองเห็นดวงดาวใดๆ ได้
พวกแรกก็คือคนผู้มีคุณธรรมและมีปฏิภาณเกี่ยวกับคุณงามความดีอยู่ในตนอยู่แล้ว
คนเหล่านี้ย่อมสามารถเข้าใจและสามารถปฏิบัติตนตามอย่างที่เรียกว่า"เต๋า" ได้ในทันที
พวกที่สองก็คือคนที่ฟังแล้วรู้สึกว่าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างนั่นเอง
คนพวกนี้คือพวกที่จะมีความศรัทธาและคิดว่าเต๋าคืออุดมคติแต่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความงมงายได้
เพราะเขายังคาดคะเน"เต๋า" ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งวิเศษอยู่
และพวกสุดท้ายนั้นก็คือคนที่ไม่ยอมรับฟังเลยนั่นเอง เป็นพวกที่มีปฏิภาณเกี่ยวกับคุณงามความดีน้อย
คนพวกนี้เมื่อได้รับฟังเต๋าก็กลับเห็นในสิ่งตรงกันข้ามว่าเหมาะสมและหัวเราะห์เยาะให้กับคำแนะนำเหล่านี้
ว่าโดยย่อคือการเป็นผู้ปฏิบัติตนด้วยความเข้าใจในธรรมะนั่นเอง
ประมาณว่าความเข้าใจในธรรมะจะช่วยส่งผลให้คิดพูดทำแต่ในทางดีๆ
และเป็นประโยชน์เป็นความสุขโดยส่วนรวม
ที่ผมต้องเริ่มต้นโดยพรรรณาถึงระดับของผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวเต๋า
อย่างนี้ก็เพราะผมยังรู้สึกว่าขาดความมั่นในบทความที่กำลังจะแสดงในตอนนี้
ว่าสามารถพิจรณาเต๋าได้ถูกต้องหรือไม่ และควรนำออกมาเผยเเพร่หรือเปล่า
แต่เมื่อนึกขึ้นว่าผมยังศึกษาและพิจรณาเต๋าในฐานะของนักศึกษามิใช่ผู้รู้
และในทุกครั้งที่ได้นำบทความที่เขียนขึ้นมาจากการพิจรณาเต๋าออกมาเผยแพร่
ผมก็ต้องแจ้งความจริงข้อนี้ให้ผู้อ่านได้รับรู้เอาไว้ก่อนเสมอ
ผมจึงรู้สึกว่าถึงแม้ว่าผมจะอธิบายเต๋าได้ผิดพลาดไปเสียจากความหมายจริงๆ ของมัน
มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรตามมาแต่อย่างใด
เพราะผมได้บอกกับท่านผู้อ่านให้เกิดวิจรณญาณก่อนจะบรรยายไปแล้วนั่นเอง
ว่านี่เป็นแค่เพียงผลงานจากการศึกษาของผมที่ยังเป็นเพียงนักศึกษาไม่ใช่ผู้รู้
อย่างไรก็ตามมผมหวังว่าท่านผู้อ่านจะสามารถได้รับประโยชน์จากการพิจรณาของผมในครั้งนี้ไม่มากก็น้อยครับ

   

       เต๋าเต๋อจิง บทที่ ๖ มารดาอันมหัศจรรย์
   
  " มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ และเป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง ได้ก่อเกิดรากฐานเเห่งฟ้าและดิน
นานแสนนานสืบมาสิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่
มีคุณประโยชน์มากมาย ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น "
           ...............................................

   หลังจากอ่านบทความในข้างต้นจบ ในความคิดของผมจ่อมจมลงสู่ความนิ่งเงียบและสงบงัน
ผมไม่มีความคิดหรือความเห็นอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่รู้ว่าท่านพูดถึงอะไรอยู่
หลายวันมานี้ผมจึงพยายามท่องบทความในข้างต้นโดยอ่านจากบันทึก(ทั้งๆที่จำได้)
และท่องบนอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าวันละประมาณกว่าสิบรอบ
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผมคิดว่าจิตใจของผมมีความสงบร่มเย็นมากพอเช่นหลังจากตื่นนอน เป็นต้น
 เพื่อหวังว่าตนเองจะสามารถเข้าใจบทความดังกล่าวนั้นได้ขึ้นมาเอง
แต่การพยายามให้เกิดความเข้าใจในทำนองว่า " อ๋อ! รู้ล่ะ " โดยอาศัยความสงบงัน
มันทำให้เกิดความเข้าใจว่าความจริงแล้วผมกำลังมองหาความจริงข้อนี้จากตัวเองอยู่
ผมกำลังค้นหารูปแบบดังกล่าวจากรูปธรรมนามธรรมที่เป็นธรรมชาติของตน
และนั่นก็นับเป็นการได้ก้าวขาขึ้นไปยังจุดเริ่มต้นของการพิจรณาเต๋าในบทนี้
  "มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ และเป็นมาดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง ได้ก่อให้เกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน"
สิ่งที่มีฤทธิ์มากและมีความยิ่งใหญ่นี้คือ "จิตใจ" ของตนเอง
เป็นส่วนประกอบของนามธรรมในตน และเป็นที่ตั้งของการบัญญัติสมมติ
คือการปรุงแต่งวัตถุธาตุเป็น ประธาน กริยา กรรม สรรพนาม คำวิเศษณ์ คำขยาย
ที่ผมยกรูปแบบการเรียงประโยคในการใช้ภาษามาก็เพราะว่ามันมีความคล้ายคลึงกันอยู่
มันเป็นสิ่งที่เต๋าเรียกว่าการปรุงแต่งรูปและนามหรือการมีสภาวะ
สิ่งเหล่านี้เป็นภาพปรากฏการที่แสดงอยู่ในจิตใจของคนเรา (หรือควรเรียกว่าปรากฏกกรรมกันแน่นะ)
แต่ถ้าหากเป็นความเข้าใจที่ย้อนไปถึงจุดเหล่านี้ได้ล่ะ จะเป็นอย่างไร
กล่าวคือการละความยึดถือในสิ่งปรุงแต่งกับทั้งความหมายที่บัญัติกันเอาไว้
ไปจนถึงกระทั้งการผ่อยคลายจากความยินดียินร้ายต่างๆ ไปเสียได้
หรือที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร นั่นเอง
การผ่อยคลายไปเช่นนี้ย่อมส่งผลที่อาจเรียกได้ว่าไร้นามไร้สภาวะอย่างหนึ่งด้วย
และการทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าบ่อเกิดหรือ "มารดา" ในบทนี้นั่นเอง
ซึ่งจะเป็นการทำความเข้าใจในเรื่องราวของตนเองให้ชัดเจนมากขึ้นด้วยนั่นแหละ
เนื่องจากมารดาที่กล่าวถึงนี้เป็นแต่เพียงรูปแบบทางธรรมชาติเท่านั้น
จึงไม่อาจหยิบยกมาให้คนอื่นจับต้องได้เหมือนวัตถุและจำเป็นต้องอธิบายไปอย่างนี้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของคนเราและจะส่งผลให้เกิดความบริสุทธิ์ความดีงามได้ด้วย
และนั่นก็เป็นผลประโยชน์จากการทำความเข้าใจที่มองย้อนกลับไปหาสาเหตุเริ่มต้น
เพราะการทำความเข้าใจกับการไม่เคยทำความเข้าใจย่อมให้ผลต่างกัน
คนแรกย่อมไม่ยึดถือและไม่ติดอยู่ในสภาวะที่ถูกสร้างสรรค์ ทำให้การดำรงอยู่จึงได้ชื่อว่า"ไร้นามไร้สภาวะ"ไปด้วย
คนที่สองย่อมตกอยู่ในภพและมองเห็นเพียงปรากฏการณ์ที่ตนปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น
สภาพอารมณ์ของทั้งสองคนจึงแตกต่างกันไปด้วย
คนแรกย่อมมีดุลยภาพในใจไม่ขึ้นๆ ลงๆ แบบคนที่สอง การทำความเข้าใจจึงมีคุณค่าแก่ตัวเองอย่างนี้
คนที่ติดอยู่ในภพย่อมพยายามปรุงแต่งภพครั้นเมื่อไม่ได้อย่างใจก็ทำลายทุกอย่าง
ความดีงามที่แท้จริงจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากวิถีทางเช่นนั้น
การมีคุณธรรมและความดีงามที่แท้จริงโดยวิถีของมันจึงควรออกมาเสียจากการปรุงแต่งสภาวะก่อน
เพราะหากยังมัวเมาหลงใหลก็รังแต่จะเดินตามทางของกิเลสตัณหาและหลีกห่างจากทางแห่งเต๋าไปทุกขณะ
ทั้งตัวเองและบ้านเมืองก็ยิ่งห่างจากความสงบสุขเพิ่มมากขึ้นตามไป
ส่วนผลสืบเนื่องจากการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น สังคมก็จะมีอารยธรรมที่สท้อนถึงการเคารพคุณธรรมศีลธรรมได้
ข้อนี้แลเป็นประโยชน์อันกว้างขวางและยิ่งใหญ่ ยั่งยืน
การรู้เห็นถึงต้นเหตุของการเป็นอยู่ของคนเราไม่ได้ใช้วิธีการซับซ้อนแต่อย่างใด
เพียงแค่อาศัยการละการยึดมั่นอันมีกิริยาคล้ายการออกไปเสียเพียงแค่นั้น
เพราะสภาวะจะเป็นปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนต่อเมื่อตามด้วยอุปปาทานเท่านั้น
ท่านเล่าจื้อเคยกล่าวไว้ว่า "เราใช้ประโยชน์จากความมีและได้รับคุณประโยชน์จากความว่าง"
ในขณะนี้นั้นผมเองก็กำลังทำความเข้าใจในคำพูดนี้ให้กระจ่างอยู่นั่นเอง
    " นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังดำรงอยู่
      ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ใช้ได้ไม่รู้หมดสิ้น "
ข้อนี้สำหรับผมหมายถึงความว่าง ที่ว่างจากอุปปาทาน คือความยึดถือโดยสมมติสังขาร
ตรงแก่นแท้ของชีวิตนั้นมีความว่าง ส่วนสิ่งอื่นๆ นั่นค่อยๆ เพิ่มเติมเข้ามาทีหลัง
อันความว่างนี่แหละที่กล่าวได้ว่ามีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อสติปัญญาของคนเรา
เพราความว่างมันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับธรรมชาติ
เมื่อธรรมชาติเป็นความเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องตามเหตุและปัจจัย
ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของจิตใจที่แต่งแต้มด้วยกิเลสตัญหาของผู้ใดทั้งนั้น
ผู้ที่มีความยึดถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมต้องเกิดความเสียใจ
เมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม
ข้อนี้แหละที่ผมกล่าวว่าเป็นความเศร้าหมองเพราะขัดแย้งกับธรรมชาติ
ทำให้ไม่สามารถรักษาดุลยภาพภายในจิตใจได้เลย
ฉนั้นเมื่อเกิดความเข้าใจในธรรมะจึงย้อนกลับสู่ความว่างเสมอ
พร้อมทั้งส่งมอบสิ่งต่างๆ คืนกลับธรรมชาติ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นต่อไป
ดังคำท่านเล่าจื้อว่า "เต๋านั้นคือความเวิ้งว้างแต่คุณประโยชน์ของมันไม่รู้สิ้นสุด"
ความดีงามที่่แท้จริงของคนเราก็คือจิตใจที่บริสุทธ์ชื่อตรง และมีอิสรภาพจากเครื่องร้อยรัด
ไม่อาจตกอยู่ภายใต้อำนาจฝ่ายต่ำอีก
จะคิดจะทำการสิ่งใดก็เล็งผลประโยชน์ที่ได้รับ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อส่วนตนและส่วนรวม
     หากจะมองดูให้ดีๆ ใจความที่ผมได้เขียนมาทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ในทำนองว่า
" ดุจดั่งแสงอรุณที่กระทำให้ดอกบัวแย้มบาน "
มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นก็คือแสงตะวันในยามอรุณ ส่วนดอกบัวก็คือจิตใจของผู้คน
สิ่งที่เปรียบเช่นดั่งแสงอรุณนี้มีลักษณะคือความว่าง
ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนยกย่องว่ามีค่าสูงส่งจึงดูคล้ายสิ่งธรรมดา
ส่วนสิ่งที่ผู้คนรังเกียจเหยียดหยามก็ไม่ได้รู้สึกว่าต่ำทราม
แสงสว่างชนิดนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นแก่นแท้ และการอาศัยแก่นแท้จึงสามารถมองเห็นสาระแท้ได้
จิตใจก็อาจกลับคืนบริสุทธิ์ ความชั่วร้ายที่อยู่ภายในใจเพราะความยึดมั่นต่างๆ ก็พลอยดับลงไป
ความดีงามก็ค่อยผลิบานได้









      ก็จบลงไปแล้วนะครับสำหรับการพิจรณาคำภีร์เต๋าเต็กเก็งในบทที่หกนี้
ผมหวังให้สิ่งที่ตนเองเขียนออกมามีความละเอียดและชัดแจ้งพอที่จะมีคุณค่าทางวิชาการ
จึงได้พยายามทุ่มเททำให้ออกมาดีที่สุด
แต่ด้วยความสามารถอันน้อยนิดจึงทำให้เขียนบรรยายได้เพียงเท่าที่ท่านเห็นอยู่นี้
ถึงแม้ผมสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าผมเข้าใจคำพูดของท่านได้
แต่นั่นอาจเป็นการเข้าใจผิดไปก็เป็นได้
ผมจึงขอรบกวนให้ท่านผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
กรุณาช่วยชี้แจงให้ผมเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยครับ เป็นได้ผมก็จะขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
หวังว่าผลงานการพิจรณาเต๋าครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบ้างนะครับ
               ......................................................